สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ประกาศทิศทางก้าวต่อไปของนวัตกรรมไทย มุ่งผลักดันประเทศสู่การเป็น “ชาตินวัตกรรม” (Innovation Nation) ผ่านยุทธศาสตร์ “4G” พร้อมชู “Climate Tech” เป็นวาระเร่งด่วน หลังพบว่าหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้คะแนนดัชนีนวัตกรรมของไทยลดลง คือการที่ประเทศยังไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องระบบนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมเท่าที่ควร
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวในงานปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “NIA กับก้าวต่อไปของนวัตกรรมไทย” ว่า NIA ต้องการเป็นผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรมเพื่อนำประเทศไทยไปสู่การเป็นชาตินวัตกรรม โดยหนึ่งในมิติที่สำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบันคือเรื่อง Climate Tech
ดร.กริชผกา ชี้ให้เห็นถึงจุดแข็งและโอกาสของนวัตกรรมไทยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ตที่แข็งแกร่งและทันสมัย ซึ่งเธอระบุว่าดีกว่าหลายประเทศในยุโรป ความเป็นประเทศที่เปิดกว้าง และความสามารถพิเศษในการผสมผสานวัฒนธรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์เข้าด้วยกันได้อย่างกลมกลืน รวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพที่ติดอันดับต้น ๆ ของโลก
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สำคัญคือการต่อยอดทรัพยากรเหล่านี้ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง (Final Product) ที่เป็นที่ต้องการของตลาดโลก ซึ่งได้ยกตัวอย่างว่า “เคยถามคนเรียนปริญญาโทว่ามีโปรดักต์นวัตกรรมอะไรของไทยที่คนทั้งโลกอยากซื้อ คำตอบที่ได้คือ ‘ผงไทย’” สะท้อนว่าไทยยังขาดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีขั้นสูง (High Technology) ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
เปิดยุทธศาสตร์ “4G” กลไกขับเคลื่อนนวัตกรรมไทย
เพื่อบรรลุเป้าหมายการเป็นชาตินวัตกรรม NIA ได้วางกลไกการขับเคลื่อนผ่านยุทธศาสตร์ 4G ซึ่งประกอบด้วย
Groom – การบ่มเพาะ สร้างและให้ความรู้แก่นักนวัตกรรมตั้งแต่ระดับเยาวชนจนถึงผู้ประกอบการ ผ่าน NIA Academy และการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยกว่า 50 แห่งทั่วประเทศเพื่อสร้างวัฒนธรรมของมหาวิทยาลัยแห่งการประกอบการ (Entrepreneurial University)
Grant – การให้ทุนสนับสนุน NIA มีกลไกการให้ทุน 9 รูปแบบสำหรับ SME, Startup และ Social Enterprise โดยให้ทุนสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อโครงการ และริเริ่มแนวคิด “Block Grant” ที่เป็นการรวมหลายโซลูชันเพื่อแก้ไขปัญหาใหญ่ร่วมกัน นอกจากนี้ ยังมีแผนเสนอให้ส่วนที่ผู้ประกอบการลงทุนเอง สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ถึง 200%
Growth – การส่งเสริมการเติบโต มุ่งเน้นให้นวัตกรรมสามารถเติบโตได้ในตลาดจริง แม้ว่าปัจจุบันการลงทุนใน Startup ไทยจะชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมของโลกที่การลงทุนด้าน R&D ต่อ GDP ลดลงจาก 2.9% เหลือ 2.3% และกระทบมาถึงประเทศไทยด้วย แต่ NIA ก็ยังพยายามสร้างเครื่องมือสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง เช่น ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมอย่าง บริษัท “ทรายแมวซ่อนกลิ่น” ที่เติบโตจากยอดขายหลักแสน สู่การเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 50 ล้านบาท ส่งออกไป 18 ประเทศ และมีมูลค่าธุรกิจหลายร้อยล้านบาทในเวลาเพียง 3 ปี
Global – การขยายสู่ตลาดโลก ผลักดันให้สินค้าและบริการนวัตกรรมของไทยเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ผ่านเครือข่ายพันธมิตรทั่วโลกและโปรแกรมเชื่อมโยงตลาดสำหรับผู้ประกอบการ
ไฮไลต์แผนงานใหม่: กองทุน 4 พันล้าน และหลักสูตร CIA for CEO
นอกเหนือจากยุทธศาสตร์หลัก NIA ได้เปิดเผยถึงสองโครงการสำคัญที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาและเติมเต็มระบบนิเวศนวัตกรรมของไทยโดยตรง
สำหรับโครงการแรกคือการจัดตั้งกองทุน NIA Venture ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนเงินทุน (Funding Gap) ของ Startup ไทยโดยเฉพาะ ที่กำลังต้องการเงินทุนเพื่อขยายธุรกิจให้เติบโต (Scale-up) กองทุนนี้จะถูกจัดตั้งในรูปแบบ PE Trust (Private Equity Trust) โดยเป็นการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน ตั้งเป้ามูลค่ากองทุนรวมที่ 4,000 ล้านบาท เงินทุนจะมาจากภาครัฐ 1,000 ล้านบาท และตั้งเป้าระดมทุนเพิ่มเติมจากภาคเอกชนอีก 3,000 ล้านบาท เพื่อสร้างแรงจูงใจและดึงดูดเม็ดเงินจากภาคเอกชน
NIA มีแผนจะเสนอมาตรการให้บริษัทที่ร่วมลงทุนในกองทุนนี้ สามารถนำจำนวนเงินลงทุนไปหักลดหย่อนภาษีได้ถึง 200% ซึ่งคาดว่าจะเป็นกลไกสำคัญในการปลดล็อกเงินทุนก้อนใหญ่ให้ไหลเข้าสู่ระบบนิเวศ Startup ของประเทศ
อีกหนึ่งโครงการใหม่ที่น่าจับตามองคือ หลักสูตร CIA for CEO (City Innovation Alliance) ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อผู้บริหารระดับสูงที่มีส่วนในการพัฒนาเมือง แนวคิดหลักของหลักสูตรคือการพัฒนาเมืองในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมลดความเหลื่อมล้ำ การเงิน และเทคโนโลยีดิจิทัล โดยมีเป้าหมายที่ไปไกลกว่าแค่ Smart City (เมืองอัจฉริยะ) แต่ต้องการสร้าง Safe City (เมืองปลอดภัย)
เป้าหมายของ Safe City มุ่งเน้นการสร้างเมืองที่ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ปลอดภัยจากการเดินทางและอาชญากรรม ซึ่งจะส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว หลักสูตรนี้มีแผนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนพฤษภาคมปีหน้า (พ.ศ. 2569)
ความท้าทายในการกระจายโอกาสสู่ภูมิภาค
ดร.กริชผกา กล่าวว่า แม้ NIA จะมีนโยบายและจัดกิจกรรมเพื่อกระจายการสนับสนุนสู่ภูมิภาคอย่างชัดเจน เช่น การแข่งขันในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ และภาคอีสาน เพื่อไม่ให้เกิดการกระจุกตัว แต่ในความเป็นจริงก็ยอมรับว่าโครงการส่วนใหญ่ยังคงกระจุกตัวอยู่ในจังหวัดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และเชียงใหม่
อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณบวกที่น่าสนใจเกิดขึ้น ดร.กริชผกา ชี้ว่า ในปีนี้ภาคใต้ถือเป็นภูมิภาคที่ตีตื้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด โดยมีผู้ประกอบการที่สร้างสรรค์นวัตกรรมได้หลากหลายมิติและน่าสนใจมากขึ้น ครอบคลุมทั้งด้านอาหาร (Food) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ดิจิทัล (Digital) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular) ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ไปจนถึงเทคโนโลยีด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Tech) ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของพื้นที่อื่น ๆ นอกเหนือจากเมืองหลัก
Climate Tech และ Circular Economy คือวาระสำคัญ
ดร.กริชผกา กล่าวว่าการให้ความสำคัญกับ Climate Tech และ Circular Economy ไม่ได้เป็นเพียงการดำเนินงานตามกระแสโลก แต่เป็นวาระสำคัญเร่งด่วน (Top Priority) ที่มีที่มาที่ไปอย่างเป็นรูปธรรม
เหตุผลหลักมาจากการวิเคราะห์ “ดัชนีนวัตกรรม” ของประเทศไทย พบว่าหนึ่งในจุดอ่อนที่ทำให้คะแนนของประเทศลดลง คือ การที่ไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องระบบนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การผลักดันเรื่องนี้จึงเป็นยุทธศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาและอุดช่องว่างดังกล่าวโดยตรง โดยคาดหวังว่าหากทำสำเร็จจะช่วยให้ตัวชี้วัดด้านความใส่ใจในระบบนิเวศของไทยสูงขึ้นได้
เพื่อขับเคลื่อนวาระนี้ NIA ได้วางแนวทางสนับสนุนที่ชัดเจน โดยประกาศให้โครงการที่เกี่ยวข้องกับ Circular Economy, Climate Tech และสิ่งแวดล้อม (Environmental) เป็นโครงการกลุ่มที่มีความสำคัญสูงสุด ผู้ประกอบการในกลุ่มนี้จะได้รับการพิจารณาให้ทุนสนับสนุนในวงเงินสูงสุดถึง 5 ล้านบาทต่อโครงการ
นอกจากนี้ NIA ยังได้จัดตั้ง โครงการ ClimateX Acceleration Program 2025 ให้เป็นหนึ่งใน Accelerator Program หลัก เพื่อเร่งการเติบโตของธุรกิจในกลุ่มนี้โดยเฉพาะ
ดร.กริชผกาชี้ว่า ปัจจุบันไม่มีใครในแวดวงธุรกิจที่ไม่พูดถึงคำว่า Green, Climate Change การเปลี่ยนผ่านนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญ และเป็นความท้าทายใหญ่ของประเทศในการมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากภาคอุตสาหกรรมยังไม่มีการปรับตัวเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือยังไม่มีแรงจูงใจที่เหมาะสมเข้ามาสนับสนุน
จากทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าทิศทางของ NIA ภายใต้การนำของ ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ไม่ใช่เป็นเพียงการประกาศแผนงาน แต่คือการมองภาพอนาคตของนวัตกรรมไทยที่ชัดเจนและมีกลยุทธ์ ด้วยยุทธศาสตร์ 4G เป็นแกนหลัก เสริมด้วยฟันเฟืองใหม่อย่างกองทุน NIA Venture และหลักสูตร CIA for CEO ที่มุ่งแก้ปัญหาอย่างตรงจุด NIA กำลังเดินหน้าสร้างระบบนิเวศที่เอื้อให้นวัตกรรมไม่ได้เป็นเพียงแค่ ‘ทางเลือก’ แต่เป็น ‘ทางรอด’ และ ‘ทางหลัก’ ในการขับเคลื่อนประเทศ นี่คือก้าวย่างที่สำคัญในการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่การเป็น ‘ชาตินวัตกรรม’ ที่สามารถสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืนบนเวทีโลก
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
‘Inspecta’ AI สัญชาติไทยคว้า 2 รางวัล TICTA ตั้งเป้าสู่ยูนิคอร์น
‘ยอด ชินสุภัคกุล’ สร้างสตาร์ตอัพยุค AI อย่างไร ให้เป็นยูนิคอร์น




