Share on
×

Share

เรื่องเล่าของคน ‘ไม่ฉลาด’ ที่ ‘ขาดทุน’ คือกำไร

เรื่องเล่าของคน ‘ไม่ฉลาด’ ที่ ‘ขาดทุน’ คือกำไร

ในยุคสมัยที่ทุกการกระทำมักถูกวัดด้วยผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม คำว่า “อาสาสมัคร” อาจถูกมองผ่านเลนส์แห่งความกังขา เมื่อ 20 ปีก่อน เคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งโยนคำถามใส่นักศึกษาปริญญาโทว่ารู้สึกอย่างไรกับคำนี้ คำตอบที่ได้คือ “รู้สึกว่าไม่ฉลาด” และ “ขาดทุน” เพราะไม่แน่ใจว่าจะถูกหลอกหรือไม่ หรือทำไปแล้วจะได้อะไรกลับคืนมา ทว่าเรื่องราวจาก สมบัติ บุญงามอนงค์ ประธานกรรมการ มูลนิธิกระจกเงา กำลังจะพิสูจน์ให้เห็นว่าการกระทำที่ดูเหมือนไม่ฉลาดและขาดทุนนั้น อาจเป็นการลงทุนที่มอบกำไรอันประเมินค่าไม่ได้ให้กับทั้งผู้ให้และสังคมโดยรวม

เมื่อการสูญเสียแปรเปลี่ยนเป็นการเยียวยา: กำไรที่เงินซื้อไม่ได้

คุณสมัติ ชวนตีความหมายของคำว่า “ขาดทุน” และ “กำไร” ใหม่ทั้งหมด ผ่านเรื่องราวของอาสาสมัครที่เผชิญกับวิกฤตการณ์ในชีวิต เรื่องราวที่สะเทือนใจที่สุดมาจากเหตุการณ์สึนามิปี 2547 ซึ่งมีคู่สามีภรรยาชาวเยอรมันคู่หนึ่ง ตั้งใจพาลูกมาเที่ยวประเทศไทยเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสในดินแดนที่อากาศอบอุ่น แต่เช้าวันรุ่งขึ้นหลังวันคริสต์มาส พวกเขากลับต้องเผชิญกับคลื่นยักษ์และสูญเสียลูกอันเป็นที่รักไปในโศกนาฏกรรมครั้งนั้น ผู้พูดบรรยายว่า แม้แต่จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือยาต้านอาการซึมเศร้าก็ไม่อาจเยียวยาบาดแผลลึกสุดใจของพวกเขาได้ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาสามารถกลับมายืนหยัดและใช้ชีวิตต่อไปได้ คือการเดินทางกลับมายังประเทศไทยอีกครั้งในฐานะ “อาสาสมัคร”

พวกเขาเลือกที่จะเปลี่ยนความเจ็บปวดจากการสูญเสีย มาเป็นการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตชาวไทยที่ประสบชะตากรรมเดียวกัน การกระทำนี้ได้เปลี่ยนเส้นเรื่องของชีวิตพวกเขา จากจุดจบที่โศกเศร้าของการสูญเสียลูก กลายเป็นเรื่องราวของการลุกขึ้นมาช่วยเหลือผู้คนให้กลับไปมีชีวิตปกติได้อีกครั้ง นี่คือ “กำไร” ที่ตีค่าเป็นเงินไม่ได้ เป็นการเยียวยาที่ลึกซึ้งที่สุดซึ่งเกิดจากการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน

มุมมองเรื่องการลงทุนนี้ยังสะท้อนผ่านเรื่องเล่าของครูหยุย บุคคลมีชื่อเสียงด้านการทำงานกับเด็กเร่ร่อน ซึ่งเคยตอบคำถามว่าทำไมถึงเลือกทำงานนี้ โดยอธิบายว่าครูมีลูกสาวที่อายุใกล้เคียงกับเด็กเร่ร่อนที่ครูดูแลอยู่ ดังนั้นครูจึงมองว่าการช่วยเหลือเด็กเหล่านี้คือการลงทุนเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมและสังคมที่ดีในอนาคตให้กับลูกสาวของครูเอง ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่ไม่ขาดทุนอย่างแน่นอน

พลังแห่งการให้ในยามวิกฤติ: จากโศกนาฏกรรมสู่จิตสำนึกพลเมือง

การเป็นอาสาสมัครมักจะเบ่งบานถึงขีดสุดในช่วงเวลาที่สังคมเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพลังของจิตสำนึกร่วมในฐานะพลเมือง คุณสมบัติพาย้อนภาพไปถึงรากฐานสำคัญของจิตวิญญาณพลเมืองผ่านเรื่องราว “กาชาด” ซึ่งถือกำเนิดจากการที่ผู้หญิงในยุคสงครามลุกขึ้นมาเป็นอาสาสมัครดูแลทหารบาดเจ็บ เพื่อตอบโต้ความรู้สึกหมดหนทาง ทำได้เพียงรอคอยทหารในเครื่องแบบเต็มยศมาเคาะประตูบ้านเพื่อแจ้งข่าวร้ายของสามี

พลังดังกล่าวได้ปรากฏอย่างชัดเจนในประเทศไทยเมื่อครั้งเหตุการณ์สึนามิปี 2547 ซึ่งผู้พูดระบุว่าเป็นช่วงที่กระแสจิตอาสาบูมสุดขีด โศกนาฏกรรมครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตในไทยราว 5,700-6,000 คน แต่กลับมีอาสาสมัครจากต่างประเทศกว่า 5,000 คนจากกว่าครึ่งโลกเดินทางมาช่วยเหลือ ซึ่งมีทั้งทีมบาสเกตบอล NBA ที่มาช่วยเคลียร์พื้นที่ ไปจนถึงวิศวกรจาก MIT ที่ชื่อ “สกอตต์” ผู้ซึ่งต่อมาได้กลับมาระดมทุนและทักษะเพื่อช่วยต่อเรือประมงให้ชาวบ้านถึง 150 ลำ ไม่เพียงแต่ในมหาภัยพิบัติ แต่ในเหตุอุทกภัยอย่างที่แม่สาย จังหวัดเชียงราย

โครงการ “อาสาล้างบ้าน” ก็ได้แสดงให้เห็นภาพของอาสาสมัครที่กำลังทำภารกิจที่แท้จริงคือ “ขุดโคลน” ซึ่งเป็นงานที่หนักหนาสาหัสจนแม้แต่ผู้รับจ้างในพื้นที่ยังต้องยอมแพ้ แต่พวกเขากลับทำด้วยรอยยิ้ม จนเจ้าของบ้านรายหนึ่งได้นำรูปของพวกเขาไปใส่กรอบติดไว้เพื่อจดจำความช่วยเหลือในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด เช่นเดียวกับวิกฤตการณ์ไฟป่าในภาคเหนือ ซึ่งในปี 2567 ส่งผลให้ประชาชนถึง 2.1 ล้านคนต้องไปพบแพทย์ ทีม “อาสาดับไฟป่า” ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ

สมบัติชี้ว่า ไฟป่าในไทยส่วนใหญ่เป็น “ไฟเลียบดิน” ที่ดับไม่ยากเมื่อเข้าถึง แต่ความท้าทายที่แท้จริงคือการเดินทางขึ้นเขาที่สูงชัน ด้วยเหตุนี้ สาเหตุการเสียชีวิตของอาสาจึงมักมาจากอาการสโตรกหรือหัวใจวายเพราะความเหนื่อยล้าเป็นหลัก การทำงานยุคใหม่จึงต้องผสานพลังคนเข้ากับเทคโนโลยีอย่างดาวเทียมของ NASA ที่ช่วยชี้จุดความร้อน โดรน เครื่องเป่าลม และจักรยานไฟฟ้าออฟโรดเพื่อลำเลียงอุปกรณ์ขึ้นไป

อาสาเปิดโลก: คืนโอกาสและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

อีกหนึ่งมิติที่สำคัญของงานอาสาสมัคร คือการเปิดโอกาสให้กลุ่มคนที่อาจถูกมองข้ามได้กลับมาใช้ชีวิตในสังคมอย่างเต็มภาคภูมิ ผ่านโครงการ “การพลิก” ซึ่งมีกิจกรรมย่อยคือ “เพื่อนพาไป” ผู้พูดได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างและทัศนคติในสังคมไทย ที่มักคาดหวังให้ผู้พิการเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน แตกต่างจากประเทศพัฒนาแล้วที่ผู้พิการสามารถออกมาใช้ชีวิตได้ตามปกติเพราะมีโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้ออำนวย ซึ่งเรื่องนี้สะท้อนได้จากประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ที่พิการและต้องใช้รถวีลแชร์ลงไปวิ่งบนถนนเพื่อเดินทางมาทำงานในระยะทางเพียง 500 เมตร เพราะฟุตบาทไม่สามารถใช้งานได้จริง

โครงการนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อทลายกำแพงดังกล่าว โดยได้สร้างสรรค์กิจกรรมหลากหลาย ตั้งแต่การพาผู้พิการที่ต้องอยู่ติดบ้านมานับ 10 ปีหลังประสบอุบัติเหตุ ได้กลับไปสัมผัสไอทะเลอีกครั้ง การมอบประสบการณ์ชมภาพยนตร์และเที่ยวชมท้องฟ้าจำลองให้แก่ผู้พิการทางสายตาโดยมีอาสาสมัครคอยพากย์บรรยายฉากต่าง ๆ ให้ฟัง แต่บทพิสูจน์ที่ทรงพลังที่สุดเกิดขึ้นที่สวนสนุก ซึ่งมีผู้พิการวีลแชร์ท่านหนึ่งที่เคยไปเที่ยวกับแม่สมัยยังไม่พิการ ได้ร้องขอให้จัดกิจกรรมนี้อีกครั้งหลังพลาดโอกาสในรอบแรก โดยยืนยันที่จะเล่นเครื่องเล่นทุกชิ้นเพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสเช่นนี้อีกเมื่อไหร่ สิ่งนี้สะท้อนความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการใช้ชีวิต และยืนยันว่าพวกเขาต้องการเพียงโอกาสและโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้ออำนวยเท่านั้น

ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องราวทั้งหมดนี้ได้หวนกลับมาตอบคำถามตั้งต้นที่ว่า การเป็นอาสาสมัครนั้น “ไม่ฉลาด” และ “ขาดทุน” จริงหรือ? จากภาพรอยยิ้มของอาสาสมัครล้างบ้าน การเยียวยาจิตใจของคู่สามีภรรยาชาวเยอรมัน ไปจนถึงความมุ่งมั่นของผู้พิการในสวนสนุก คำตอบที่ได้ดูเหมือนจะชัดเจนอยู่ในตัวเองแล้วว่า “กำไร” จากการเป็นอาสาสมัครนั้น คือสิ่งที่ลึกซึ้งและยิ่งใหญ่เกินกว่าจะวัดได้ด้วยหน่วยทางวัตถุใด ๆ

และนี่คือกองกำลังสำคัญที่ขับเคลื่อนมูลนิธิกระจกเงา ซึ่งมีอาสาสมัครหมุนเวียนมาช่วยงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปีที่แล้วที่มีราว 10,000 คน มาถึง 15,000 คนในปีนี้ และคาดว่าจะเข้าใกล้ 20,000 คนในไม่ช้า ทางมูลนิธิฯ จึงได้เชิญชวนองค์กรต่าง ๆ ที่มีพนักงาน 20 คนขึ้นไป ให้มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรม “ยึดมูลนิธิกระจกเงา 1 วัน” เพื่อสัมผัสประสบการณ์ตรงของการเป็นผู้ให้

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

GAME CHANGER: ไทยเข้าสู่สังคมไร้เงินสดเต็มรูปแบบ

โลกรวน เศรษฐกิจร่วง: ทางรอดประเทศไทย

SME โตเร็ว: สร้างแบรนด์ด้วย Passion มัดใจด้วย Experience

×

Share

ผู้เขียน