ในยุคที่ “ความยั่งยืน” หรือ Sustainability กลายเป็นคำศัพท์ทางการตลาดที่ถูกใช้อย่างแพร่หลาย มีสตาร์ตอัพเลือดใหม่ 4 แห่งกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าแนวคิดนี้เป็นได้มากกว่าแค่คำสวยหรูบนหน้ากระดาษ แต่สามารถเป็นแกนหลักของโมเดลธุรกิจที่สร้างผลกำไรและแก้ปัญหาจริงไปพร้อมกัน ตั้งแต่การทำความสะอาดหมวกกันน็อก ไปจนถึงการปฏิวัติการเข้าถึงระบบสาธารณสุขในชนบท เรื่องราวของ Noc Care, DooRae, MATTERPIECE และ CERO กำลังส่งสัญญาณว่า คลื่นลูกต่อไปของวงการเทคโนโลยีและธุรกิจขับเคลื่อนด้วย “Purpose” ที่วัดผลได้จริง
จาก Pain Point ในชีวิตจริงสู่โอกาสทางธุรกิจที่ถูกมองข้าม
จุดร่วมที่น่าสนใจของสตาร์ตอัพทั้งสี่คือการเริ่มต้นจาก “ปัญหา” ที่เฉพาะเจาะจงและมักถูกมองข้าม แต่พวกเขามองเห็นโอกาสทางธุรกิจซ่อนอยู่
พสุ อัคนิวรรณ แห่ง Noc Care เริ่มต้นจากปัญหาใกล้ตัวที่ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ทุกคนคุ้นเคย นั่นคือหมวกกันน็อกที่มีกลิ่นอับและยากต่อการทำความสะอาด แทนที่จะมองว่าเป็นเรื่องปกติ เขากลับมองเห็นช่องว่างในตลาดและพัฒนา “ตู้ทำความสะอาดหมวกกันน็อก” โดยใช้โมเดลธุรกิจแฟรนไชส์ที่เริ่มต้นจากคนใกล้ชิด โดยมีเป้าหมายใหญ่กว่านั้นคือการยกระดับคุณภาพชีวิตของกลุ่มผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ทั้งหมด
ขณะที่ โชติพันทธ์ โชติทรัพย์ชลกรณ์ จาก DooRae ได้รับแรงผลักดันจากประสบการณ์ในครอบครัว เมื่อญาติผู้ใหญ่ในต่างจังหวัดขาดโอกาสในการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงทีเพียงเพราะอุปสรรคด้านระยะทางและค่าใช้จ่าย Pain Point ที่เจ็บปวดนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็น “ชุดตรวจอัจฉริยะ” ที่มีความสามารถในการตรวจวินิจฉัยเบื้องต้น เช่น ฟังเสียงปอดและหัวใจ ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ อสม. (อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) นำไปใช้งานในชุมชนได้ถึงบ้าน นับเป็นการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข
ในฝั่งของ MATTERPIECE โดย ปุญญิศา ลี้ภากรณ์ และ ภัทรมน ศรีสุชาติ ซึ่งเริ่มต้นโครงการมาตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ได้เปลี่ยนขยะที่ไม่มีใครต้องการให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่า พวกเขาพบว่ามี “ขวดแก้ว” โดยเฉพาะขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมากที่ไม่สามารถนำกลับไปรีไซเคิลได้ จึงเกิดแนวคิดในการนำวัสดุเหล่านี้มาแปรรูปเป็นเครื่องประดับที่มีดีไซน์เฉพาะตัว ไม่เพียงแต่ช่วยลดปริมาณขยะ แต่ยังสร้างตลาดใหม่ให้กับสินค้าแฟชั่นที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
ส่วน อัคคพล ฮุนพงษ์สิมานนท์ จาก CERO แพลตฟอร์ม Deep Tech ได้เจาะลึกไปที่ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ว่า “การทำดี” ด้านสิ่งแวดล้อมของแต่ละบุคคลนั้นวัดผลได้ยากและขาดแรงจูงใจ CERO จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อติดตามและประเมินผลกิจกรรมลดคาร์บอนในชีวิตประจำวัน เช่น การเดินที่เชื่อมข้อมูลกับแอปพลิเคชันสุขภาพในโทรศัพท์ แล้วเปลี่ยนผลลัพธ์เหล่านั้นให้กลายเป็น “คาร์บอนเครดิต” ที่จับต้องได้ สร้างแรงจูงใจให้คนทั่วไปมีส่วนร่วมในการดูแลโลกมากขึ้น
ความท้าทายที่แท้จริง: เมื่อ “ความยั่งยืน” ต้องพิสูจน์ตัวเองในโลกธุรกิจ
เส้นทางของสตาร์ตอัพกลุ่มนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ อุปสรรคสำคัญที่พวกเขาเผชิญสะท้อนให้เห็นความท้าทายของการทำธุรกิจที่เน้นความยั่งยืนอย่างแท้จริง
การสร้างตลาดไม่ใช่แค่การสร้างผลิตภัณฑ์ ทั้ง Noc Care และ CERO เผชิญโจทย์เดียวกันคือ พวกเขาไม่ได้กำลังขายแค่สินค้า แต่กำลัง “สร้างพฤติกรรมใหม่” ให้กับผู้บริโภค Noc Care ต้องให้ความรู้แก่ตลาดถึงความสำคัญของสุขอนามัยหมวกกันน็อก ซึ่งทีมงานใช้วิธี “Nocare Calling” โทรศัพท์หาผู้ใช้งานทุกสัปดาห์เพื่อเก็บข้อมูลและสร้างความสัมพันธ์ ขณะที่ CERO ต้องทำให้คนทั่วไปตระหนักว่ากิจกรรมเล็กๆ ของพวกเขาส่งผลกระทบต่อโลกได้
ต่อมาคือ สมการที่ต้องลงตัวระหว่างอุดมการณ์และราคา MATTERPIECE และ DooRae ต่างต้องหาจุดสมดุลระหว่างการเลือกใช้วัสดุและกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน กับการตั้งราคาที่ผู้บริโภคเป้าหมายสามารถเข้าถึงได้ DooRae เลือกใช้วัสดุคุณภาพสูงที่ทนทานนาน 10-15 ปี เพื่อลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ในระยะยาว แม้จะมีต้นทุนสูงกว่าก็ตาม
ผลลัพธ์ที่จับต้องได้: นิยามใหม่ของความสำเร็จ
ตัวชี้วัดความสำเร็จของธุรกิจเหล่านี้ไม่ได้มีแค่ตัวเลขรายได้ แต่รวมถึงผลกระทบเชิงบวกที่สร้างขึ้น
CERO สามารถลดการปล่อยคาร์บอนไปแล้วกว่า 5,000 กิโลกรัม จากผู้ใช้งานกว่า 4-5 หมื่นคนในหนึ่งปี ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของโมเดลธุรกิจคือโครงการที่ร่วมกับ OR ซึ่งลูกค้าคาเฟ่ อเมซอน สามารถนำแก้วที่ล้างแล้วมาคืนเพื่อรับคาร์บอนเครดิต ไปแลกเป็นคะแนน Blue Point สำหรับใช้เป็นส่วนลดซื้อกาแฟหรือเติมน้ำมันได้
MATTERPIECE นอกจากจะนำขยะแก้วมาสร้างมูลค่าแล้ว ยังให้ความสำคัญกับการสนับสนุนชุมชน โดยใช้โลหะเงินจากภาคเหนือของไทยหรือเงินกะเหรี่ยง และกำลังศึกษาการใช้วัสดุเหลือทิ้งอื่น ๆ เช่น ขวดเครื่องสำอาง อะลูมิเนียม หรือแม้แต่เปลือกหอยจากอุตสาหกรรมนาฬิกามาพัฒนาต่อในอนาคต
DooRae มีกรณีศึกษาที่ชัดเจนในการช่วยให้ผู้ป่วยติดเตียงเข้าถึงการวินิจฉัยและได้รับสิทธิการรักษาที่จำเป็น และจากความสำเร็จในประเทศ ปัจจุบันบริษัทกำลังวางแผนขยายธุรกิจไปยังตลาดประเทศเกาหลีใต้อีกด้วย
Noc Care หลังจากเปิดตัวเพียง 2 เดือน สามารถขยายสาขาไปได้แล้ว 45 แห่งทั่้วกรุงเทพฯ มีผู้ใช้บริการแล้วกว่า 10,000 ครั้ง และได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้ใช้งานจริง ขณะเดียวกัน ความต้องการของตลาดยังคงสูงมาก โดยมีผู้สนใจซื้อแฟรนไชส์รออยู่กว่า 1,000 ราย
ท้ายที่สุด มุมมองของผู้ประกอบการทั้งสี่ได้สะท้อนนิยามของ “ความยั่งยืน” ที่ลึกซึ้งกว่าเดิม นั่นคือการสร้างธุรกิจที่ อยู่รอดและเติบโตได้ (Economic Viability) เกื้อหนุนผู้คนและชุมชน (Social Equity) และ สร้างสมดุลกับสิ่งแวดล้อม ไปพร้อมกัน นี่อาจเป็นพิมพ์เขียวของธุรกิจแห่งอนาคต ที่ความสำเร็จไม่ได้วัดจากผลกำไรสูงสุดเพียงอย่างเดียว แต่วัดจากคุณค่าที่สร้างให้กับโลกใบนี้ด้วย
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
SME โตเร็ว: สร้างแบรนด์ด้วย Passion มัดใจด้วย Experience
บัตรเครดิต กรุงศรี ชู ‘Life Worth Living’ เพิ่มสิทธิประโยชน์ ‘เที่ยว-ช้อป-กิน’




