ภาพของนักวิ่งชาวเคนยาคว้าแชมป์มาราธอนด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 18 นาที โดยสวมเพียง “รองเท้าแตะ” ได้กลายเป็นไวรัลไปทั่วโลก สร้างคำถามและความทึ่งให้กับวงการวิ่งว่าแบรนด์สัญชาติไทยอย่าง VING (วี-อิ้ง) ทำได้อย่างไร? เบื้องหลังความสำเร็จที่ดูเหมือนปาฏิหาริย์นี้ ไม่ได้มีที่มาจากงบประมาณการตลาดมหาศาล แต่มาจากปรัชญาการทำธุรกิจที่เฉียบคมและสวนกระแสอย่างสิ้นเชิง
เรื่องราวของ VING ไม่ใช่การเดินทางตามเส้นเวลาปกติ แต่คือการประกอบร่างของ 3 องค์ประกอบสำคัญ คือ กลยุทธ์ที่แหลมคม จุดเริ่มต้นที่จริงแท้ และวิธีการทำงานที่ปราดเปรียว ซึ่งทั้งหมดทำงานประสานกันจนสร้างปรากฏการณ์ในปัจจุบัน
กลยุทธ์ ‘ยอดพีระมิด’ อาวุธหลักในการสร้างความเชื่อมั่น
หัวใจของความสำเร็จและอาวุธที่ทรงพลังที่สุดของ VING คือกลยุทธ์ที่ วาที วิเชียรนิตย์ ผู้ก่อตั้ง บริษัท วีอิ้ง อินเตอร์เทรด จำกัด เรียกว่า การเจาะยอดพีระมิด (Top of Niche Pyramid)
–ViNG – รองเท้าแตะไทย พลิกวงการวิ่ง สู่ความฝันพันล้านระดับโลก
แทนที่จะทำการตลาดกับคนหมู่มากซึ่งต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล VING เลือกที่จะโฟกัสไปที่กลุ่มลูกค้าที่เล็กที่สุด แต่มีอิทธิพลสูงสุด นั่นคือ Expert User หรือเหล่านักวิ่งอัลตร้ามาราธอน (ระยะ 100 กิโลเมตรขึ้นไป) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดและยอมจ่ายเพื่อแก้ปัญหาที่ชัดเจน
“ถ้าเกิดคนใส่รองเท้าแตะวิ่งจบ 100 กิโลเมตรแล้วบอกว่ามันสบาย คุณคิดว่าคนที่วิ่ง 42 กิโลเมตร หรือคนที่เดินไปชอปปิง เขาจะเชื่อไหม?” คุณวาทีอธิบายถึงตรรกะเบื้องหลัง
กลยุทธ์นี้คือการสร้างความน่าเชื่อถือจากบนลงล่าง (Top-Down Credibility) เมื่อผลิตภัณฑ์ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้ที่เชี่ยวชาญและเป็นที่เคารพที่สุดในวงการแล้ว ความเชื่อมั่นนั้นจะไหลลงมาสู่ตลาดในวงกว้างโดยอัตโนมัติ โดยแทบไม่ต้องใช้งบโฆษณาจำนวนมาก เปรียบเสมือนการที่เราเชื่อคำแนะนำของแพทย์มากกว่าคนทั่วไป
จาก Pain Point สู่ Winning Point ที่จริงแท้
แต่กลยุทธ์นี้จะไร้ความหมาย หากไม่ตั้งอยู่บนรากฐานของความจริงแท้ (Authenticity) จุดกำเนิดของ VING ไม่ได้มาจากห้องประชุม แต่มาจากความเจ็บปวดของคุณวาทีเอง ในสมัยที่ยังเป็นโปรแกรมเมอร์น้ำหนัก 90 กิโลกรัม เขาต้องกัดฟันซื้อรองเท้าแตะจากร้านสะดวกซื้อมาเปลี่ยนระหว่างการแข่งมาราธอน เพราะรองเท้าวิ่งแบรนด์ดังบีบเท้าจนเกิดอาการบาดเจ็บ
ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาค้นพบ Pain Point ที่นักวิ่งจำนวนมากต้องเผชิญ และมองเห็นช่องว่างในตลาดที่รองเท้าเพื่อสุขภาพส่วนใหญ่มีภาพลักษณ์ที่ล้าสมัย VING จึงถือกำเนิดขึ้นจากการแก้ปัญหาของตัวเองอย่างแท้จริง ความเข้าใจในความต้องการของนักวิ่งอย่างลึกซึ้งนี้เอง ที่กลายเป็นจิตวิญญาณ องแบรนด์ และเป็นเหตุผลว่าทำไมกลุ่ม Expert User ถึงเปิดใจยอมรับผลิตภัณฑ์ของเขาตั้งแต่แรก
วิถีสตาร์ตอัพแบบ Lean ที่ไม่ต้องใช้เงินทุน
หากกลยุทธ์ยอดพีระมิดคือเข็มทิศ และ Pain Point คือจิตวิญญาณ วิธีการทำงานแบบสตาร์ตอัพ ก็คือเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนให้ VING เกิดขึ้นได้จริง คุณวาทีได้นำหลักการจากโลกเทคโนโลยีมาปรับใช้อย่างชาญฉลาด โดยเริ่มต้นจากจุดที่น่าทึ่งที่สุดคือ การสร้างธุรกิจโดยไม่ใช้เงินทุนของตัวเอง VING ไม่ได้เริ่มจากการกู้ยืมหรือระดมทุน แต่ใช้ ‘เงินของลูกค้า’ ผ่านระบบพรีออเดอร์เพื่อเป็นทุนในการผลิตล็อตแรก
ก่อนจะไปถึงขั้นนั้น ทุกแนวคิดผลิตภัณฑ์จะถูกทดสอบด้วยหลักการ Proof of Concept (POC) ที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด คือการโพสต์ไอเดียลงในโซเชียลมีเดียเพื่อวัดความสนใจ และเมื่อเห็นสัญญาณบวก เขาจะพัฒนา Minimum Viable Product (MVP) หรือผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ใช้ต้นทุนต่ำที่สุด—ซึ่งอาจเป็นเพียงการนำสินค้าที่มีอยู่แล้วมาดัดแปลง—เพื่อทดลองขายและเก็บข้อมูลจริงจากตลาด วิธีการทำงานที่ลดความเสี่ยงสูงสุดและมีความคล่องตัวสูงนี้ คือหัวใจที่ทำให้ VING สามารถทดลองและเติบโตได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องแบกรับต้นทุนมหาศาล และกลายเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องการสร้างแบรนด์ในยุคปัจจุบัน
บทพิสูจน์บนเส้นชัย: เมื่อทุกองค์ประกอบทำงานร่วมกัน
ภาพประวัติศาสตร์ของนักวิ่งที่เข้าเส้นชัยมาราถอนด้วยรองเท้าแตะ และธงชาติไทยที่ได้ไปโบกสะบัดในงานระดับโลกอย่าง London Marathon Expo ไม่ใช่แค่ภาพแห่งความสำเร็จ แต่คือบทพิสูจน์ว่าทุกองค์ประกอบของ VING ได้ทำงานประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ
นั่นคือบทสรุปที่แสดงให้เห็นว่า เมื่อจุดเริ่มต้นที่จริงแท้จาก Pain Point ส่วนตัว ถูกผสานเข้ากับกลยุทธ์ที่เฉียบคมอย่างการเจาะยอดพีระมิด และขับเคลื่อนด้วยวิธีการทำงานที่ปราดเปรียวแบบสตาร์ตอัพ ผลลัพธ์ที่ได้คือการสร้างความได้เปรียบที่ยั่งยืน ซึ่งสามารถทลายทุกข้อจำกัดและนำพาแบรนด์เล็ก ๆ แบรนด์หนึ่งไปสู่เวทีโลกได้อย่างน่าทึ่ง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Axons-AWS สร้างแอป ‘Farm One’ เพิ่มคุณภาพเกษตรกรไทยด้วย AgriTech
NBA ผนึก AWS ยกระดับวงการบาสเกตบอลด้วย Cloud AI




