ความผันผวนของโลกการเงินและกระแสเทคโนโลยีที่ถาโถม การเฟ้นหาทิศทางการลงทุนที่ถูกต้องเปรียบเสมือนการเดินเรือในมหาสมุทรที่ไร้เข็มทิศ บนเวทีเสวนา “Follow the Future: Win the AI Era, Seize the Alpha, Survive the Bubbles” ได้เกิดปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ เมื่อสองนักลงทุนต่างเจเนอเรชันและต่างสไตล์มาบรรจบกัน
ฝ่ายหนึ่งคือ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ต้นตำรับนักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor – VI) ผู้มองโลกผ่านเลนส์ประวัติศาสตร์และมูลค่าพื้นฐาน อีกฝ่ายคือ พสุวุฒิ วิไลนิรันดร์, CFA รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ตัวแทนของนักลงทุนยุคใหม่ที่มุ่งเน้นการสร้างผลกำไรส่วนเพิ่ม (Alpha)
แม้ทั้งคู่จะมีปรัชญาการลงทุนที่แตกต่างกันราวเส้นขนาน แต่กลับมีจุดตัดสำคัญที่เห็นพ้องต้องกันอย่างน่าประหลาด นั่นคือความเชื่อมั่นในศักยภาพของ “ประเทศเวียดนาม”
เจาะลึกมุมมองสองขั้วการลงทุน “เวียดนาม” ดาวรุ่งแห่งเอเชียที่โลกต้องจับตามอง
สภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังเผชิญกับแรงเสียดทานและการชะลอตัว สปอตไลท์ของการลงทุนกลับสาดส่องไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ที่กำลังถูกจับตามองในฐานะดาวรุ่งดวงใหม่ที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม ประเด็นที่น่าสนใจคือความเห็นพ้องต้องกันของสองกูรูด้านการลงทุนต่างสไตล์อย่าง ดร.นิเวศน์ และคุณพสุวุฒิ ที่ต่างฟันธงถึงศักยภาพของเวียดนาม แต่เมื่อเจาะลึกลงไปในเหตุผลเบื้องหลังกลับพบมุมมองที่สะท้อนความลึกซึ้งผ่านเลนส์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ดร.นิเวศน์ ต้นตำรับนักลงทุนเน้นคุณค่า เลือกที่จะมองเวียดนามผ่านเลนส์ทางสังคมและวัฒนธรรม โดยเปรียบเปรยการลงทุนในเวียดนามว่าเสมือนการได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปเห็นภาพประเทศไทยเมื่อราว 20 ถึง 30 ปีก่อน ซึ่งนับเป็นยุคทองของการเติบโตทางเศรษฐกิจ สิ่งที่ดร.นิเวศน์ให้ความสำคัญไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพีเท่านั้น แตาท่านมองลึกลงไปถึงรากฐานสำคัญคือดีเอ็นเอของประชากร
จากการวิเคราะห์เชิงโครงสร้างประชากร ดร.นิเวศน์ชี้ให้เห็นว่าคนเวียดนามมีลักษณะนิสัยและวัฒนธรรมการทำงานที่คล้ายคลึงกับคนในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกอย่างจีน ญี่ปุ่น หรือเกาหลี กล่าวคือมีความขยันขันแข็ง มีความอดทนสูง และมีความกระหายที่จะยกระดับฐานะทางสังคมของตนเองอย่างรุนแรง นอกจากนี้ปัจจัยเรื่องความยืดหยุ่นทางสังคมยังเป็นจุดเด่นสำคัญ เนื่องจากการที่เวียดนามไม่มีข้อจำกัดทางศาสนาที่เคร่งครัด ทำให้สังคมพร้อมที่จะเปิดรับวัฒนธรรมใหม่และปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งปัจจัยเชิงคุณภาพเหล่านี้เปรียบเสมือนรากฐานที่แข็งแกร่งที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจเวียดนามก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในภูมิภาคได้ในระยะยาว
ในขณะเดียวกัน มุมมองของคุณพสุวุฒิ กลับสะท้อนผ่านเลนส์ของตัวเลขและโอกาสในการชนะตลาดตามแบบฉบับของผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ โดยมองว่าเวียดนามคือตลาดที่เต็มไปด้วยโอกาสในการสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มหรืออัลฟ่าที่ชนะค่าเฉลี่ยของตลาดได้ หากพิจารณาผ่านเสาหลักทางเศรษฐกิจสามประการ
ประการแรก คือ เรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยพบว่าเวียดนามยังคงรักษาระดับการเติบโตที่สูงได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักของโลกในปัจจุบัน ประการต่อมา คือ เรื่องเสถียรภาพทางการเมืองที่มีความนิ่ง ซึ่งส่งผลดีต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจให้มีความต่อเนื่องและไม่สะดุด และประการสุดท้าย คือ เรื่องของมูลค่าหุ้น (Valuation) โดยภาพรวมตลาดยังอยู่ในระดับราคาที่สมเหตุสมผล ไม่แพงจนเกินเอื้อมเมื่อเทียบกับศักยภาพการเติบโตที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้เวียดนามกลายเป็นหมุดหมายสำคัญที่นักลงทุนสถาบันต่างให้ความสนใจในการเข้าไปแสวงหาผลกำไร
วิวาทะ AI สองมุมมอง: ระหว่างกับดัก “ฟองสบู่” และโอกาสของ “ตัวช่วย” พลิกโฉมธุรกิจ
ไฮไลต์สำคัญที่ทำให้บรรยากาศการเสวนาบนเวทีทวีความร้อนแรงสูงสุด หนีไม่พ้นประเด็นความคิดเห็นที่แตกแยกกันอย่างสิ้นเชิงในเรื่องของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงหลักปรัชญาการลงทุนที่แตกต่างกันระหว่างนักลงทุนเน้นคุณค่าและผู้จัดการกองทุนยุคใหม่
ดร.นิเวศน์ เลือกที่จะสวมหมวกผู้เตือนภัยโดยประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนให้ระมัดระวังภาวะฟองสบู่ AI ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมผ่านวิกฤตเศรษฐกิจมาหลายครั้ง ท่านได้เปรียบเทียบสถานการณ์ความร้อนแรงในปัจจุบันว่ามีส่วนคล้ายคลึงกับยุควิกฤิอดอทคอม หรือ Dot-com Crisis ในปี 2000 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บริษัทเทคโนโลยีถูกไล่ราคาหุ้นขึ้นไปสูงจนเกินความเป็นจริง
ดร.นิเวศน์ ชี้ให้เห็นสัจธรรมข้อหนึ่งที่นักลงทุนควรตระหนักคือ เทคโนโลยีที่ดีล้ำสมัย ไม่ได้แปลว่าจะเป็นการลงทุนที่ดีเสมอไป หากนักลงทุนเข้าไปซื้อในจังหวะที่ราคาแพงเกินพื้นฐานความเป็นจริง หรือภาวะ Overvaluation ความเสี่ยงที่จะขาดทุนย่อมมีมหาศาล โดยท่านเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วฟองสบู่ลูกนี้จะแตกออก และผู้ชนะในตลาด AI ตัวจริงจะเหลือรอดเพียงไม่กี่ราย ดังนั้นการกระโจนเข้าใส่กระแส AI ในเวลานี้จึงไม่ใช่กลยุทธ์ที่ตอบโจทย์วิถีของ VI
ในทางตรงกันข้าม คุณพสุวุฒิ เลือกที่จะมองเหรียญอีกด้านโดยเห็น AI ในฐานะตัวช่วย หรือ Enabler ที่จะเข้ามาปลดล็อกศักยภาพทางธุรกิจให้ก้าวกระโดด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของประเทศเวียดนามที่กำลังอยู่ในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนผ่านจากระบบเอกสารแบบดั้งเดิมไปสู่ระบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ
คุณพสุวุฒิอธิบายขยายความว่า แม้เวียดนามอาจจะไม่ใช่ประเทศที่เป็นผู้คิดค้นหรือสร้างนวัตกรรม AI ในระดับโลก แต่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเวียดนามกำลังเร่งนำ AI มาประยุกต์ใช้เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างมหาศาล นอกจากนี้ เวียดนามยังมีบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่รับงานว่าจ้างจากภายนอก หรือ Outsource จากบริษัททั่วโลก ซึ่งได้รับอานิสงส์โดยตรงจากการเติบโตของเทคโนโลยีในภาพใหญ่ ทาง InnovestX จึงมองว่า AI คือธีมการลงทุนที่จับต้องได้จริง หากนักลงทุนรู้จักเลือกลงทุนในบริษัทที่สามารถนำเทคโนโลยีมาปรับใช้อย่างชาญฉลาดและเกิดประโยชน์สูงสุดทางธุรกิจ
ยุทธศาสตร์บริหารพอร์ตต่างขั้ว: ระหว่างการตั้งรับรอวิกฤติกับการรุกฆาตเฟ้นหาหุ้นเด็ด
ความแตกต่างของมุมมองที่มีต่อสภาวะเศรษฐกิจและเทคโนโลยีไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่กรอบความคิดทางทฤษฎีเท่านั้น หากแต่ยังส่งผลโดยตรงไปสู่การวางยุทธศาสตร์การบริหารพอร์ตโฟลิโอที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เปรียบเสมือนแม่ทัพสองคนที่เลือกใช้ตำราพิชัยสงครามคนละเล่มในการเดินทัพ
สำหรับดร.นิเวศน์ เลือกใช้กลยุทธ์การถือเงินสดเพื่อรอวิกฤตอ โดยปัจจุบันท่านได้สำรองสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงไว้มากถึงร้อยละ 50 ของพอร์ตโฟลิโอ การตัดสินใจดังกล่าวไม่ได้เกิดจากความหวาดกลัวต่อสภาวะตลาด แต่เกิดจากวินัยและความอดทนที่เป็นเลิศเพื่อรอคอยจังหวะเวลาที่เหมาะสมที่สุด
ดร.นิเวศน์มีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า เมื่อภาวะฟองสบู่แตกออก หรือยามที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ราคาสินทรัพย์คุณภาพดีจะปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับที่ท่านนิยามว่าถูกเหมือนได้เปล่า ซึ่งนั่นจะเป็นนาทีทองที่ท่านจะนำเงินสดที่เตรียมไว้เข้าช้อนซื้อสินทรัพย์เหล่านั้น เพื่อสร้างฐานความมั่งคั่งรอบใหม่ที่มั่นคง
ในขณะที่ฟากฝั่งของคุณพสุวุฒิ ในฐานะนักลงทุนเชิงรุกแห่ง InnovestX เลือกที่จะสวมบทบาทนักล่า หรือ The Hunter ด้วยการใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า High Conviction Portfolio ซึ่งเป็นรูปแบบการบริหารพอร์ตที่เน้นความมั่นใจสูงสุด โดยจำกัดการลงทุนในหุ้นเพียง 7 ถึง 15 ตัวเท่านั้น กระบวนการคัดสรรหุ้นกลุ่มนี้มีความเข้มข้นอย่างยิ่ง ทีมงานไม่ได้พึ่งพาเพียงแค่ข้อมูลสาธารณะ แต่ใช้วิธีการลงพื้นที่จริง หรือ Company Visit เพื่อเข้าพบและพูดคุยกับผู้บริหารโดยตรง วิธีการเชิงรุกนี้ช่วยให้ทีมงานสามารถเจาะลึกข้อมูลและสัมผัสถึงศักยภาพที่แท้จริงในมิติที่ปัญญาประดิษฐ์หรือนักลงทุนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้ เป้าหมายสำคัญคือการเฟ้นหาหุ้นที่ตลาดยังมองไม่เห็นมูลค่าที่แท้จริง หรือ Undervalued เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ชนะตลาดได้อย่างโดดเด่น
สู่ทศวรรษใหม่ของการลงทุน เมื่อเวียดนามคือจุดตัดแห่งโอกาสของสองขั้วความคิด
การแลกเปลี่ยนทัศนะอย่างเข้มข้นบนเวทีนี้ ไม่เพียงแต่เปิดเผยให้เห็นมุมมองที่แตกต่าง แต่ยังสะท้อนสัจธรรมสำคัญประการหนึ่งของโลกการลงทุน นั่นคือการไม่มีสูตรสำเร็จที่ตายตัวสำหรับการสร้างความมั่งคั่ง แนวคิดของดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เปรียบเสมือนเข็มทิศที่คอยเตือนสติให้นักลงทุนตระหนักถึงความสำคัญของความระมัดระวังสูงสุด และการให้ความสำคัญกับการรักษาเงินต้นให้ปลอดภัยท่ามกลางกระแสความผันผวนที่เชี่ยวกรากของโลกการเงินและฟองสบู่เทคโนโลยี ในขณะที่วิสัยทัศน์ของคุณพสุวุฒิ วิไลนิรันดร์ สะท้อนภาพของการเป็นนักปรับตัวที่ชาญฉลาด โดยมุ่งเน้นการใช้ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์ที่แม่นยำเป็นอาวุธสำคัญในการสร้างโอกาสทำกำไรที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางยุทธวิธีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จุดหมายปลายทางที่ได้รับการยอมรับตรงกันอย่างมีนัยสำคัญคือศักยภาพของประเทศเวียดนาม ที่กำลังก้าวขึ้นมาเป็นสมรภูมิเนื้อหอมที่นักลงทุนไทยไม่อาจละสายตาได้ ไม่ว่านักลงทุนจะนิยามตนเองว่าเป็นสายเน้นคุณค่าที่เน้นการรอจังหวะเข้าซื้อหุ้นดีราคาถูกอย่างใจเย็น หรือเป็นสายล่าผลตอบแทนส่วนเพิ่มที่มองหาการเติบโตแบบก้าวกระโดด เวียดนามเปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่กำลังจะเข้ามาเติมเต็มและเปลี่ยนโฉมหน้าพอร์ตการลงทุนให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้ในทศวรรษหน้า นับเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่เปิดกว้างสำหรับผู้ที่มีความพร้อมและการเตรียมตัวที่ดีที่สุดเท่านั้น
พลังงานเปลี่ยนโลก: โอกาสใหม่ที่นักการตลาดต้องรู้
ดร.พลัง x Buffalo Gags: วิธีคิด ‘ครีเอเตอร์’ ให้รอดและยั่งยืนในยุคดิจิทัล




