Share on
×

Share

ทิศทาง ‘Bitcoin’ เปลี่ยนผ่านสู่ยุทธศาสตร์ชาติ ทางเลือกใหม่ของพอร์ตลงทุน

ทิศทาง 'Bitcoin' เปลี่ยนผ่านสู่ยุทธศาสตร์ชาติ ทางเลือกใหม่ของพอร์ตลงทุน

ระบบเศรษฐกิจโลกเผชิญความท้าทายจากภาระหนี้สาธารณะและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ สินทรัพย์ดิจิทัลที่เคยเป็นเพียงทางเลือกเฉพาะกลุ่มอย่าง Bitcoin ได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในเวทีการเงินโลก

ล่าสุดบนเวทีสัมมนาใหญ่แห่งปี “Follow the Future: Win the AI Era, Seize the Alpha, Survive the Bubbles” ในช่วงเสวนาหัวข้อ “Diversifying for Tomorrow” ได้รวบรวมมุมมองจาก 3 ผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าของไทย ได้แก่ ณปภัช ปิยไชยกุล เจ้าของช่อง “The BIG Secret Channel” ธนวัต สุตันติวรคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) Bitazza Thailand และ นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล CFA ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (Binance TH) เพื่อวิเคราะห์ทิศทางและโอกาสที่กำลังจะเกิดขึ้น

เนื้อหาจากการเสวนาสะท้อนให้เห็นว่า Bitcoin กำลังเปลี่ยนสถานะจากเครื่องมือเก็งกำไร สู่การเป็นส่วนหนึ่งของ “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงระดับชาติ” และเป็นสินทรัพย์ที่จำเป็นสำหรับพอร์ตการลงทุนสมัยใหม่

บทพิสูจน์แห่งทศวรรษ: ผลตอบแทนที่ชนะทุกวิกฤติ

นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล, CFA ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (Binance TH) กล่าวว่า แม้ Bitcoin จะเป็นสินทรัพย์น้องใหม่ที่มีอายุเพียง 15 ปี ซึ่งถือว่าสั้นมากเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ดั้งเดิม (Traditional Assets) อย่างทองคำ พันธบัตร หรือตลาดหุ้นที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับร้อยนับพันปี แต่ผลการดำเนินงานย้อนหลังกลับเป็นที่ประจักษ์

จากข้อมูลสถิติตลอด 14 ปีที่ผ่านมา Bitcoin สามารถครองตำแหน่ง “สินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนสูงสุด” (Best Performing Asset) ได้ถึง 12 ปี ตัวเลขนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตแบบก้าวกระโดดที่ชนะสินทรัพย์ประเภทอื่นในระยะยาว แม้จะมีความผันผวนระหว่างทางก็ตาม

จุดเปลี่ยนภูมิทัศน์การลงทุน: จาก “รายย่อย” สู่ “สถาบันการเงินโลก”

สิ่งสำคัญที่ทำให้การเติบโตของ Bitcoin ในรอบวัฏจักรนี้แตกต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา คือโครงสร้างของผู้เล่นในตลาด คุณนิรันดร์ ได้ขยายความให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งสำคัญ (Structural Change) ว่าแรงขับเคลื่อนราคาไม่ได้มาจาก “นักลงทุนรายย่อย” (Retail Investors) เพียงอย่างเดียวเหมือนในอดีตอีกต่อไป

ปัจจัยหลักคือการไหลบ่าเข้ามาของ “เม็ดเงินลงทุนจากสถาบัน” (Institutional Money) จำนวนมหาศาล โดยมีจุดเปลี่ยนสำคัญคือการอนุมัติจัดตั้งกองทุน Spot Bitcoin ETF ในสหรัฐอเมริกา เหตุการณ์นี้เปรียบเสมือนการเปิดประตูบานใหญ่ที่เชื่อมโลกการเงินเก่าเข้ากับโลกการเงินใหม่ ทำให้สถาบันการเงินระดับโลก กองทุนบำเหน็จบำนาญ และบริษัทบริหารสินทรัพย์ยักษ์ใหญ่ สามารถจัดสรรเงินทุนเข้าสู่ Bitcoin ได้อย่างสะดวก ถูกต้องตามกฎหมาย และอยู่ภายใต้มาตรฐานการกำกับดูแลที่เข้มงวด

ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ มูลค่าตลาดรวม (Market Capitalization) ของสินทรัพย์ดิจิทัลมีการเติบโตขึ้นอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืนกว่าในอดีต โดยมี Bitcoin เป็นแกนหลักที่ครองสัดส่วนตลาด (Market Dominance) สูงสุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า โลกการเงินกระแสหลักได้ยอมรับ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์การลงทุนที่ไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป

ผ่าทางตันวิกฤติหนี้สหรัฐฯ: เมื่อ “Bitcoin” ถูกวางหมากเป็นทุนสำรองเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Reserve)

สาระสำคัญที่ คุณธนวัต และ คุณณปภัช ได้ร่วมกันวิเคราะห์เจาะลึก คือการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์นโยบายการเงินของมหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐอเมริกา ที่กำลังหันมาพิจารณาสินทรัพย์ดิจิทัลในมิติใหม่ ผ่านร่างกฎหมายที่ทั่วโลกกำลังจับตามองอย่าง “The Genius Act”

หัวใจหลักของกฎหมายฉบับนี้ ไม่ใช่เพียงการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับทั่วไป แต่เป็นการเสนอให้มีการจัดตั้ง “ทุนสำรอง Bitcoin เชิงยุทธศาสตร์” (Strategic Bitcoin Reserve) ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนทางนโยบายที่สะท้อนถึงการแก้ปัญหารากฐานของระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ

คุณธนวัตและคุณณปภัชได้ขยายความถึงบริบทความจำเป็นที่อยู่เบื้องหลังแนวคิดดังกล่าว โดยชี้ให้เห็นว่าสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับ “วิกฤตหนี้สาธารณะ” (Public Debt Crisis) ที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งวิธีการดั้งเดิมอย่างการพิมพ์เงินดอลลาร์เพิ่ม (Quantitative Easing) เพื่อนำมาชำระหนี้ เปรียบเสมือนดาบสองคมที่ส่งผลร้ายย้อนกลับมาในรูปแบบของภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรง และกัดกร่อนความน่าเชื่อถือของสกุลเงินดอลลาร์ลงทุกขณะ

ในสถานการณ์ที่ระบบการเงินเปราะบางเช่นนี้ Bitcoin จึงถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นทางออกสำคัญ ด้วยคุณสมบัติพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ที่มี “จำนวนจำกัด” (Finite Supply) อย่างแท้จริง แตกต่างจากเงินตราที่สามารถพิมพ์เพิ่มได้ไม่จำกัด รัฐบาลสหรัฐฯ จึงเริ่มมองเห็นโอกาสในการใช้ Bitcoin เป็นเครื่องมือสร้างหลักประกันมูลค่าใหม่ (Store of Value) หรือใช้เพื่อลดภาระหนี้ (Pay down debt) ในระยะยาว ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาที่โครงสร้างทางการเงิน มากกว่าการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเพียงอย่างเดียว

สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านโยบายภายในของสหรัฐฯ คือแรงกระเพื่อมที่จะส่งผลต่อระเบียบโลกในรูปแบบของ “ทฤษฎีเกม” (Game Theory) คุณธนวัตและคุณณปภัชวิเคราะห์ตรงกันว่า เมื่อมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลกเริ่มขยับตัวเพื่อสะสม Bitcoin เข้าสู่คลังหลวง ประเทศอื่น ๆ ย่อมไม่อาจเพิกเฉยได้ เพราะหากประเทศใดปรับตัวช้า อาจหมายถึงการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและการรักษาความมั่งคั่งของชาติในอนาคต สถานการณ์นี้จึงเป็นแรงกดดันทางยุทธศาสตร์ที่ผลักดันให้รัฐบาลทั่วโลก ต้องเร่งหันมาทบทวนและกำหนดนโยบายการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลของตนเองอย่างเร่งด่วน ก่อนที่จะพลาดโอกาสสำคัญทางประวัติศาสตร์การเงินนี้

ทองคำดิจิทัล: ชัยชนะของเทคโนโลยีเหนือข้อจำกัดทางกายภาพ

ในมิติของการเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Haven) ที่นักลงทุนทั่วโลกใช้เป็นหลุมหลบภัยทางเศรษฐกิจ คุณธนวัต ชี้ให้เห็นถึงจุดเปราะบางสำคัญของทองคำแท่ง นั่นคือ “ข้อจำกัดด้านอุปทาน” (Supply Constraint)

แม้ทองคำจะได้รับการยอมรับมายาวนาน แต่ปริมาณทองคำในโลกยังคงขึ้นอยู่กับความสามารถในการขุดเจาะ หากในอนาคตเทคโนโลยีทางวิศวกรรมก้าวหน้าขึ้นจนมนุษย์สามารถเข้าถึงแหล่งแร่ใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น หรือสามารถขุดเจาะได้ลึกขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำลง ปริมาณทองคำที่ไหลเข้าสู่ตลาด (Supply) ก็อาจเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ซึ่งตามกลไกราคาแล้ว เมื่อของมีมากขึ้น มูลค่าของมันย่อมเสี่ยงที่จะลดลง

ในทางตรงกันข้าม Bitcoin ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาความไม่แน่นอนดังกล่าวด้วยคณิตศาสตร์ ระบบของ Bitcoin ถูกกำหนดจำนวนไว้อย่างตายตัวที่ 21 ล้านเหรียญ (Hard Cap) ภายใต้รหัสคอมพิวเตอร์ที่ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์จะล้ำสมัยขึ้นเพียงใด ก็ไม่มีใครสามารถ “ผลิตเพิ่ม” เกินกว่าจำนวนที่กำหนดไว้ได้ คุณสมบัตินี้ทำให้ Bitcoin มีสถานะเป็นสินทรัพย์ที่มีความขาดแคลนอย่างสมบูรณ์ และกลายเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าสินทรัพย์ทางกายภาพใดๆ

นอกเหนือจากการเป็นแหล่งเก็บรักษามูลค่า (Store of Value) แล้ว คุณธนวัตยังขยายความถึงจุดเด่นของ Bitcoin ในฐานะ “เงินที่เขียนโปรแกรมได้” (Programmable Money) ซึ่งฉีกกฎข้อจำกัดทางกายภาพของทองคำอย่างสิ้นเชิง

การเคลื่อนย้ายทองคำมูลค่ามหาศาลข้ามประเทศเป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยภาระด้านการขนส่ง การรักษาความปลอดภัย และขั้นตอนทางศุลกากรที่ยุ่งยาก แต่สำหรับ Bitcoin มูลค่ามหาศาลสามารถถูกโอนถ่ายข้ามพรมแดนได้ภายในเสี้ยววินาทีด้วยต้นทุนที่ต่ำมาก นอกจากนี้ Bitcoin ยังมีความละเอียดในการแบ่งหน่วยย่อย (Divisibility) ได้ถึงทศนิยม 8 ตำแหน่ง ทำให้มีความยืดหยุ่นสูงในการทำธุรกรรมทุกขนาด ซึ่งเป็นสิ่งที่ทองคำแท่งไม่สามารถทำได้ในทางปฏิบัติ

ความชัดเจนในคุณสมบัติเหล่านี้ สอดคล้องกับข้อมูลเชิงสถิติที่ คุณนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ได้นำเสนอ ซึ่งระบุว่าค่าความสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่างราคาทองคำและ Bitcoin ในระยะหลังเริ่มมีทิศทางที่เคลื่อนไหวสอดคล้องกันมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้เป็นดัชนีชี้วัดที่สำคัญว่า ตลาดการลงทุนทั่วโลกได้ก้าวข้ามข้อกังขาเดิม และเริ่มยอมรับ Bitcoin ในฐานะ “ทองคำดิจิทัล” (Digital Gold) อย่างเต็มรูปแบบแล้ว

กลยุทธ์จัดพอร์ตแห่งอนาคต: พลังของการจัดสรรเพียง 1-5% (The Power of Asymmetric Bet)

สำหรับโจทย์ใหญ่เรื่องการบริหารความเสี่ยงในยุคที่ตลาดการเงินมีความผันผวนสูง คุณธนวัต สุตันติวรคุณ ได้นำเสนอแนวคิดที่ท้าทายทฤษฎีการลงทุนดั้งเดิม โดยชี้ให้เห็นว่าโมเดลพอร์ตการลงทุนแบบคลาสสิกที่แบ่งสัดส่วนระหว่าง “หุ้น 60% และพันธบัตร 40%” อาจไม่ใช่สูตรสำเร็จที่แข็งแกร่งพอที่จะสร้างผลตอบแทนให้ชนะอัตราเงินเฟ้อได้อีกต่อไป

ทางออกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนยุคใหม่ คือการปรับเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ด้วยการเติมสินทรัพย์ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงอย่าง Bitcoin เข้าไปในพอร์ตเพียงเล็กน้อยที่ระดับ 1-5% ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์การลงทุนเรียกกลยุทธ์ลักษณะนี้ว่า “Asymmetric Bet” หรือการเดิมพันที่มีความเสี่ยงไม่สมมาตรกับผลตอบแทน

ความเสี่ยงจำกัด แต่โอกาสไร้ขีดจำกัด (Limited Downside, Unlimited Upside)

คุณธนวัตอธิบายกลไกของสัดส่วน 1-5% ไว้อย่างเห็นภาพว่า หากเกิดกรณีเลวร้ายที่สุดที่มูลค่าของ Bitcoin ลดลงจนเหลือศูนย์ ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพอร์ตโดยรวมจะถูกจำกัดอยู่เพียงแค่เงินต้น 1-5% ที่ลงไปเท่านั้น ซึ่งเป็นระดับความเสียหายที่พอร์ตการลงทุนส่วนใหญ่สามารถรองรับและฟื้นตัวได้

แต่ในทางกลับกัน หาก Bitcoin มีการเติบโตขึ้นตามวัฏจักรประวัติศาสตร์ ผลตอบแทน (Upside) ที่ได้รับกลับมานั้นมหาศาลและไร้เพดานจำกัด ซึ่งผลกำไรจากส่วนเล็กๆ นี้ มีพลังมากพอที่จะช่วยพยุงหรือดึงผลตอบแทนรวมของทั้งพอร์ตให้สูงขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์

นอกจากหลักการแล้ว ยังมีข้อมูลเชิงตัวเลขที่ยืนยันความสำเร็จของกลยุทธ์นี้ใน 2 มิติสำคัญ คือ

  1. ความคุ้มค่าที่เพิ่มขึ้น (Sharpe Ratio): การผสมผสาน Bitcoin เข้าไปในสัดส่วนที่เหมาะสม ช่วยยกระดับค่า Sharpe Ratio หรือดัชนีชี้วัดความคุ้มค่าของผลตอบแทนเมื่อเทียบกับความเสี่ยง ให้สูงขึ้นอย่างชัดเจน หมายความว่า “ในทุกๆ หนึ่งหน่วยความเสี่ยงเท่าเดิม ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น”
  2. ความปลอดภัยที่ยังคงอยู่ (Max Drawdown): ข้อมูลสถิติยังบ่งชี้ข้อเท็จจริงสำคัญว่า การจัดสรรเงินในสัดส่วนเล็กน้อยนี้ ไม่ได้ ส่งผลให้ความเสี่ยงขาลงสูงสุด (Max Drawdown) หรือโอกาสขาดทุนหนักที่สุดของพอร์ตขยายตัวขึ้นจนน่ากังวลแต่อย่างใด

นี่จึงเป็นบทสรุปที่ว่า การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลไม่จำเป็นต้อง “ทุ่มหมดหน้าตัก” เพื่อเสี่ยงดวง แต่เป็นการใช้ประโยชน์จากความผันผวนในปริมาณที่พอดี เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนส่วนเพิ่ม โดยที่ยังรักษาความมั่นคงของพอร์ตหลักไว้ได้อย่างครบถ้วน

ความรู้และการกำกับดูแลเกราะป้องกันความมั่งคั่งในยุคดิจิทัล

บทสรุปที่ตกผลึกได้จากการเสวนาครั้งนี้ ชี้ให้เห็นถึงความจริงประการหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ นั่นคือ โลกการเงินกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ยุค “ดิจิทัลภิวัตน์” (Digitization) อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นกระแสหลักที่กำลังหลอมรวมเข้ากับวิถีชีวิตและระบบเศรษฐกิจโลก

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางโอกาสที่เปิดกว้าง ผู้เชี่ยวชาญทั้งสามท่านต่างเน้นย้ำเป็นเสียงเดียวกันว่า “ความเข้าใจที่ถ่องแท้”คือรากฐานที่สำคัญที่สุดของการลงทุนในสินทรัพย์ยุคใหม่ นักลงทุนจำเป็นต้องก้าวข้ามกระแสความตื่นตัว (Hype) ไปสู่การศึกษาข้อมูลเชิงลึก ทั้งในด้านกลไกเทคโนโลยี ปัจจัยพื้นฐาน และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง

อีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม คือการเลือกใช้บริการผ่าน ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) ที่ได้รับใบอนุญาตและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)เท่านั้น การดำเนินการผ่านแพลตฟอร์มที่ได้มาตรฐาน (Regulated Exchange) เปรียบเสมือนการสร้างเกราะป้องกันชั้นแรกให้กับสินทรัพย์ ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกฉ้อโกง และสร้างความมั่นใจในความโปร่งใสของทุกธุรกรรม

ท้ายที่สุด การกระจายการลงทุนสู่สินทรัพย์ดิจิทัลในวันนี้ จึงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงกรอบของการ “เก็งกำไรระยะสั้น” เพื่อหวังผลตอบแทนหวือหวาอีกต่อไป แต่คือการวางแผนยุทธศาสตร์ทางการเงินเพื่อสร้าง “ความมั่นคงในระยะยาว” เป็นการปรับพอร์ตการลงทุนให้ทันต่อพลวัตของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ เพื่อรักษาและส่งต่อความมั่งคั่งได้อย่างยั่งยืน ในวันที่โลกการเงินเก่าและใหม่กำลังก้าวเดินไปพร้อมกัน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

17 ปี ‘คิดไม่เหมือนใคร’: แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พลิกสูตรโรงแรม 5 ดาว สู่เป้า 10,000 ล้านบาท

BAM แก้หนี้ – Easy Money เติมทุน: ทางออกใหม่คนไทย

×

Share

ผู้เขียน