เมื่อโลกกำลังก้าวเข้าสู่ปี 2026 ด้วยความหวังที่แขวนไว้บนเส้นด้ายบาง ๆ ของเทคโนโลยีเพียงหนึ่งเดียว ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) และที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ได้เปิดเผยทิศทางเศรษฐกิจโลกและไทยในระยะข้างหน้า ด้วยบทวิเคราะห์ที่เจาะลึกถึงแก่นของปัญหา โดยชี้ว่ามนุษยชาติกำลังฝากอนาคตไว้กับ “ปัญญาประดิษฐ์” (AI) มากจนเกินพอดี พร้อมเสนอทางออกเชิงยุทธศาสตร์ที่แตกต่างสำหรับประเทศไทย นั่นคือการถอยออกมาจากการเป็นผู้เล่นในสนามรบ แล้วสวมบทบาท “ผู้สนับสนุน” ที่ชาญฉลาดแทน
เดิมพันสุดท้ายของโลก: ทำไม AI ถึงเป็นทางรอดเดียวท่ามกลาง 4 มรสุมเศรษฐกิจ
ภายใต้เลนส์การวิเคราะห์ของ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ โครงสร้างเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับสภาวะที่เปราะบางที่สุด โดยถูกบีบคั้นจาก 5 เมกะเทรนด์ (Megatrends) ที่กำลังปะทะกันอย่างรุนแรง ซึ่งสิ่งที่น่าตกใจคือ 4 ปัจจัยแรกล้วนเป็นปัจจัยลบที่พร้อมจะฉุดรั้งโลกให้ดำดิ่ง
ไม่ว่าจะเป็น สงครามภูมิรัฐศาสตร์ ที่ทำให้การค้าโลกแตกเป็นเสี่ยง ๆ วิกฤติโลกร้อนที่เพิ่มต้นทุนการใช้ชีวิตและธุรกิจ สึนามิสังคมสูงวัยที่ทำให้แรงงานขาดแคลน ไปจนถึงภูเขาหนี้สาธารณะที่กดทับงบประมาณของรัฐบาลทั่วโลก ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นตัวการที่ทำให้ต้นทุนพุ่งสูงขึ้นแต่ประสิทธิภาพการผลิตกลับลดต่ำลง
ในสมการแห่งความสิ้นหวังนี้ มีเพียงตัวแปรเดียวที่เป็นความหวัง นั่นคือ Artificial Intelligence (AI)
ดร.ศุภวุฒิ อธิบายว่า ทั่วโลกกำลังฝากความหวังไว้ที่ AI ในฐานะ “อัศวินขี่ม้าขาว” ที่จะเข้ามากู้วิกฤติ ด้วยกลไกการเพิ่ม Productivity หรือความสามารถในการผลิตที่เหนือมนุษย์ เพื่อชดเชยกำลังคนที่หายไป และสร้างความมั่งคั่งใหม่เพื่อมาโปะหนี้สินก้อนโตที่โลกก่อไว้
สถานการณ์ในขณะนี้จึงเปรียบเสมือนการเดิมพันด้วยเงินหมดหน้าตัก (All-in) ของเศรษฐกิจโลก เพราะ AI คือไพ่ใบสุดท้ายที่ “ต้องเวิร์ก” และ “ต้องชนะ” เท่านั้น หาก AI เป็นเพียงภาพลวงตา หรือฟองสบู่ที่แตกโพละ แรงกดดันจาก 4 มรสุมร้ายที่รายล้อมอยู่จะถาโถมเข้าใส่ทันที และนั่นอาจหมายถึงจุดวิกฤติที่สุดของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่
–สภาพัฒน์ เบรกดัง ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ ผลาญน้ำ-ไฟมหาศาล จ้างงานต่ำ ซ้ำเติมเหลื่อมล้ำ
บทเรียนราคาแพงจากอดีต: หรือ “AI” กำลังจะซ้ำรอยวิกฤติ “ทางรถไฟ”?
ท่ามกลางความตื่นเต้นที่ตลาดทุนทั่วโลกขานรับเทคโนโลยี AI ดร.ศุภวุฒิ กลับมองเห็นสัญญาณอันตรายที่ซ่อนอยู่ และเลือกที่จะเตือนสติด้วยการเปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับเหตุการณ์ในอดีตอย่าง “ยุคตื่นทางรถไฟ” (Railroad Mania)
ย้อนกลับไปในยุคนั้น โลกตกอยู่ในภวังค์ของการลงทุนสร้างทางรถไฟ ทุกคนเชื่อว่านี่คืออนาคต จึงระดมเงินมหาศาลเพื่อปูรางรถไฟไปทั่วทุกสารทิศ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ “กับดักสภาพคล่อง” เพราะการสร้างโครงสร้างพื้นฐานต้องใช้เวลานานนับสิบปี ในขณะที่กำไรยังไม่เกิดขึ้นจริง ท้ายที่สุดเมื่อความคาดหวังวิ่งเร็วกว่าความเป็นจริง ฟองสบู่ก็แตกโพละ นำไปสู่วิกฤติการเงินที่เจ็บปวด
ดร.ศุภวุฒิ อธิบายว่า วันนี้เรากำลังเห็นภาพเดิมฉายซ้ำในโลกของ AI ทั่วโลกกำลังทุ่มเงินลงทุน (CAPEX) อย่างบ้าคลั่งไปกับการ “ปูรางรถไฟดิจิทัล” ไม่ว่าจะเป็น ชิปประมวลผลอัจฉริยะ โรงไฟฟ้าพลังงานสูง และอาณาจักรดาต้าเซ็นเตอร์ รวมมูลค่ามหาศาลกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
แต่คำถามสำคัญที่ ดร.ศุภวุฒิ โยนกลับมาคือ “แล้วรถไฟขบวนนี้ทำเงินได้หรือยัง?” คำตอบคือ ยังไม่ชัดเจน ปัจจุบันรายได้และกำไรจากการใช้งาน AI จริง ๆ ยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับเงินลงทุนที่ถมลงไป
นี่คือความเสี่ยงระดับวิกฤต หาก “สายป่าน” ของนักลงทุนหมดลง หรือตลาดหมดความเชื่อมั่นก่อนที่ AI จะพิสูจน์ตัวเองว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและสร้างเม็ดเงินได้จริง เราอาจจะต้องเผชิญกับภาวะ “ฟองสบู่ AI แตก” ซึ่งจะเป็นแรงกระแทกทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่โลกต้องจารึกไว้อีกครั้ง
ยุทธศาสตร์ “Levi’s”: เมื่อไทยไม่ควรเสี่ยงในสมรภูมิ“ขุดทอง” แต่จงรวยด้วยการขาย“กางเกงยีนส์”
ท่ามกลางสงครามเทคโนโลยี (Tech War) ที่กำลังปะทุขึ้นอย่างดุเดือดระหว่างสองมหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน เพื่อช่วงชิงความเป็นเจ้าตลาดในน่านน้ำสีเลือด (Red Ocean) เราได้เห็นภาพการงัดข้อทางการค้า การกีดกันการส่งออกชิปเซมิคอนดักเตอร์ ไปจนถึงการควบคุมแร่ธาตุหายาก (Rare Earth) ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำ
ในสถานการณ์เช่นนี้ ดร.ศุภวุฒิ วิเคราะห์ว่า ประเทศไทยไม่มี “แต้มต่อ” หรือขีดความสามารถเพียงพอที่จะกระโดดลงไปแข่งขันในฐานะ “ผู้สร้าง” (Builder) ไม่ว่าจะเป็นการแข่งผลิตชิปหรือสร้างแพลตฟอร์ม AI ระดับโลก การฝืนแข่งในเกมที่เราเสียเปรียบย่อมไม่ใช่ทางเลือกที่ยั่งยืน
ดร.ศุภวุฒิ เสนอแนวคิดที่เรียกว่า “ยุทธศาสตร์ Levi’s” (Levi’s Strategy) ซึ่งเป็นการถอดบทเรียประวัติศาสตร์จากยุคตื่นทองในสหรัฐอเมริกา (Gold Rush) ช่วงศตวรรษที่ 19 ในเวลานั้น ผู้คนจำนวนมหาศาลหลั่งไหลไปขุดทองด้วยความหวังจะร่ำรวย แต่ความจริงอันโหดร้ายคือ “นักขุดทอง” ส่วนใหญ่ล้มเหลว ขาดทุน และกลับบ้านมือเปล่า
ในทางกลับกัน ผู้ที่สร้างความมั่งคั่งได้อย่างแท้จริงและยั่งยืนกลับไม่ใช่คนขุดทอง แต่คือ Levi Strauss พ่อค้าหัวใสที่มองเห็นโอกาสจากการขาย “กางเกงยีนส์” ที่มีความทนทาน ให้กับเหล่าคนงานเหมืองและนักขุดทองเหล่านั้น โดยไม่สนว่าคนขุดจะเจอทองหรือไม่ แต่คนขายยีนส์ได้กำไรแน่นอน
“กางเกงยีนส์” ของประเทศไทยคืออะไร? เมื่อเปรียบเทียบกับบริบทปัจจุบัน ไทยไม่ควรเป็นคนขุดทอง (ผู้สร้าง AI) แต่ควรเป็นคนขายยีนส์ (ผู้สนับสนุน) โดยสินค้าที่เป็นจุดแข็งของไทย ซึ่งเปรียบเสมือนกางเกงยีนส์คุณภาพสูง ได้แก่ ภาคบริการ (Service) การท่องเที่ยวและบริการต้อนรับ (Hospitality) อาหาร (Food) และ ธุรกิจดูแลสุขภาพ (Wellness)
ดร.ศุภวุฒิ ชี้แนะว่า ไทยต้องวางตำแหน่งตัวเอง (Positioning) ให้เป็น “โอเอซิส” หรือผู้ให้บริการระดับพรีเมียมแก่บรรดา “เศรษฐีใหม่” (AI Nouveau Riche) ที่ร่ำรวยจากการเติบโตของหุ้นเทคโนโลยี และบุคลากรทักษะสูงในอุตสาหกรรม AI ทั่วโลก คนกลุ่มนี้ทำงานหนักและมีความเครียดสูง ย่อมต้องการสถานที่พักผ่อน อาหารรสเลิศ และการดูแลสุขภาพที่ดี
กุญแจสำคัญคือการใช้ AI เป็น “เครื่องมือ” ไม่ใช่ “สินค้า” ไทยไม่ต้องผลิต AI ขาย แต่ต้องนำ AI มาใช้เป็นระบบหลังบ้าน (Enabler) เพื่อยกระดับภาคบริการของเราให้เหนือชั้นขึ้น เช่น การใช้ AI วิเคราะห์ความต้องการนักท่องเที่ยวเพื่อมอบประสบการณ์แบบ Personalization การบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบอาหาร หรือการยกระดับบริการทางการแพทย์ นี่คือวิถีทางที่จะเปลี่ยนไทยจากผู้ตามทางเทคโนโลยี ให้กลายเป็นผู้ชนะในเกมเศรษฐกิจยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง
ก้าวข้ามกับดักผู้สร้าง: สู่สถานะ “Smart User” ทางรอดที่แท้จริงของไทย
บทสรุปส่งท้ายจาก ดร.ศุภวุฒิ ไม่ใช่เพียงแค่การคาดการณ์เศรษฐกิจ แต่คือการ “ดึงสติ” ภาคธุรกิจไทยให้หลุดพ้นจากมายาคติที่ว่า ประเทศไทยต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีแข่งกับโลก แต่ในความเป็นจริงเราควรหันมาโฟกัสที่จุดแข็งที่แท้จริงนั่นคือการเป็น “ผู้ใช้งานอัจฉริยะ” (Smart User)
ดร.ศุภวุฒิ อธิบายแนวคิดนี้ผ่านภาพเปรียบเทียบว่าโครงสร้างพื้นฐาน AI ก็เหมือนกับ “รางรถไฟ” ว่า การสร้างรางรถไฟ (AI Builder) เป็นหน้าที่ของประเทศมหาอำนาจที่มีทุนหนา ซึ่งต้องแบกรับความเสี่ยงสูงและการลงทุนมหาศาล เปรียบเสมือนการเอาตัวไปเจ็บโดยไม่จำเป็น
การใช้รางรถไฟ (Smart User) คือหน้าที่ของไทย เราเพียงแค่รอจังหวะให้โครงสร้างพื้นฐานเหล่านั้นเสร็จสมบูรณ์ แล้วรีบใช้ประโยชน์จากมันเพื่อ “ขนส่ง” สินค้าและบริการที่เป็นจุดเด่นของเรา (เช่น การท่องเที่ยว อาหาร และบริการ) ไปสู่ตลาดโลกด้วยประสิทธิภาพที่สูงขึ้นและต้นทุนที่ต่ำลง
ดังนั้น ยุทธศาสตร์สำคัญที่จะพาไทยก้าวผ่านปี 2026 จึงไม่ใช่การพยายามเป็นเจ้าของเทคโนโลยี แต่คือการเปลี่ยนวิกฤตความเปลี่ยนแปลงของโลก ให้กลายเป็น “โอกาส” ในการนำเทคโนโลยีมาเป็น เครื่องทุ่นแรง เพื่อขายความเป็นไทยในเวอร์ชันที่ดีที่สุด (Best Version) ให้แก่โลกใบนี้
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
วิสัยทัศน์ ‘ดร.นิเวศน์’ กับทางรอดนักลงทุน VI เมื่อ AI ครองเมือง
พลังงานเปลี่ยนโลก: โอกาสใหม่ที่นักการตลาดต้องรู้




