Share on
×

Share

Green Burial: เมื่อความตายคือการให้

Green Burial: เมื่อความตายคือการให้

วงสนทนาที่ว่าด้วยเรื่อง “ชีวิต สิ่งแวดล้อม และความตาย” อาจไม่ใช่หัวข้อที่ถูกหยิบยกมาพูดคุยกันบ่อยนัก แต่ในการเสวนาครั้งนี้ ประเด็นดังกล่าวได้ถูกคลี่คลายและนำเสนอในมุมมองที่ลึกซึ้งและเปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ ผ่านมุมมองของสองสตรีต่างวัย คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์ ผู้ก่อตั้ง และประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ บริษัท ชีวามิตร วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ในวัย 86 ปี และ ศิรพันธ์ วัฒนจินดา (นุ่น) นักแสดงและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท คิดคิด จำกัด (กิจการเพื่อสัมคม) ได้พาเราเดินทางสำรวจความสัมพันธ์อันเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่ง และนำเสนอปรัชญา “คืนสู่ดิน” ที่เปลี่ยนความตายให้กลายเป็นการให้อย่างยั่งยืน

จุดเริ่มต้น ปลายช้อน: เมื่อชีวิตดำรงอยู่ด้วยความตาย

ประเด็นสำคัญที่สุดที่เปรียบดังหัวใจของวงสนทนา คือการตระหนักรู้ถึงความเชื่อมโยงอันเป็นเนื้อเดียวระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ และวัฏจักรแห่งชีวิต คุณหญิงจำนงศรี ได้แบ่งปันจุดเปลี่ยนทางความคิดที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังว่าเกิดขึ้นในวันที่กำลังจะตัก “หมูต้ม” เข้าปาก

“วันหนึ่งตอนที่เห็นหมูต้ม ฉันก็คิดขึ้นมาว่าถ้าเป็นร่างกายคนถูกต้มก็คงดูเหมือนกัน ความคิดนั้นทำให้ฉันเข้าใจความจริงข้อหนึ่งว่า ชีวิตเราดำรงอยู่ได้ก็เพราะความตาย เพราะอาหารทั้งหมดที่เรากินก็คือสิ่งที่เคยมีชีวิตมาก่อน”

การตระหนักรู้นี้ได้ขยายภาพให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นพืชที่เติบโตจากดินหรือสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร ล้วนมีต้นกำเนิดจากผืนดินทั้งสิ้น เราทุกคนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบนิเวศที่ยิ่งใหญ่ การเกิด อยู่ และตาย เป็นเพียงวัฏจักรที่สวยงามและเป็นธรรมชาติ

ในขณะที่คุณศิรพันธ์ เสริมในมุมของคนรุ่นใหม่ว่า ในอดีตเธอเคยคิดว่ามนุษย์กับธรรมชาติเป็นเพียงสิ่งที่อยู่ร่วมกัน แต่เมื่อได้ศึกษาเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ก็ได้เรียนรู้ว่าคือโลกเดียวกัน

“เรากับธรรมชาติเชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว ถ้าเราทำร้ายธรรมชาติ ผลเสียก็จะย้อนกลับมาหาเรา เพราะเราต้องพึ่งพาทั้งดิน น้ำ และอากาศในการใช้ชีวิต ดังนั้น การทำลายธรรมชาติจึงเท่ากับการทำลายตัวเอง”

จากปรัชญาสู่การปฏิบัติ: เส้นทางชีวิตที่ยั่งยืนของนุ่น ศิรพันธ์

แนวคิดดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงปรัชญา แต่ได้ถูกถักทอเข้ากับการดำเนินชีวิตของคุณนุ่นในทุกมิติ เธอได้ขยายความถึงความสัมพันธ์กับ ท็อป พิพัฒน์ ผู้เป็นสามีและผู้จุดประกายให้เธอสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมว่า การทำงานร่วมกันทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยั่งยืนกว่าแค่ความรัก

คุณศิรพันธ์อธิบายว่า ยิ่งนานวันเธอยิ่งมองเห็นคุณค่าในตัวสามีจากการทำงานเพื่อสิ่งแวดล้อม สำหรับเธอแล้ว การทำความดีของเขานี่แหละคือ ‘ความหล่อ’ ที่แท้จริงซึ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ตั้งอยู่บนการชื่นชมในตัวตนและเป้าหมายเดียวกัน

ทั้งคู่ยังได้ตกผลึกร่วมกันและตัดสินใจที่จะไม่มีทายาท เพื่อวางแผนชีวิตที่พอเหมาะพอดีสำหรับคนสองคน สามารถพึ่งพาและดูแลกันเองได้จนถึงวาระสุดท้าย แนวคิดนี้ยังขยายไปสู่การทำธุรกิจเพื่อสังคม ECOLIFE ที่เริ่มต้นจากการผลิตสินค้าจากเศษวัสดุ แต่เมื่อตระหนักว่ามีข้อจำกัดในการสร้างผลกระทบวงกว้าง จึงปรับเปลี่ยนแนวทางมาสู่ การสร้างองค์ความรู้ ผ่านการทำงานกับองค์กรขนาดใหญ่ การทำ MOU กับมหาวิทยาลัยกว่า 100 แห่ง และพัฒนาแอปพลิเคชัน เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในคนหมู่มากอย่างแท้จริง

จากความทรมานสู่ชีวามิตร“: นิยามใหม่ของคำว่ากตัญญู

ก่อนจะไปถึงปรัชญา “คืนสู่ดิน” คุณหญิงจำนงศรี ได้ย้อนเล่าถึงจุดกำเนิดของ “ชีวามิตร” องค์กรที่รณรงค์เรื่องการ “อยู่ดีตายดี” (Palliative Care) ซึ่งมีที่มาจากประสบการณ์ตรงที่ป้าศรีได้เห็นความทุกข์ทรมานของผู้ป่วยระยะสุดท้าย

ภาพของคุณหมอวัย 99 ปี ที่นอนร้องไห้อยู่ในห้องไอซียู ถูกมัดมือมัดเท้าเพื่อป้องกันการดึงท่อช่วยหายใจออก และต้องถูกกระตุ้นหัวใจทุกครั้งที่ความดันตก เป็นภาพที่สะเทือนใจและจุดประกายให้ คุณหญิงจำนงศรีเริ่มศึกษาเรื่องความตายอย่างจริงจัง

คุณหญิงจำนงศรี กล่าวว่า ความรักและความกตัญญูของลูกหลานอาจกลายเป็นโซ่ตรวนที่ยื้อความทุกข์ทรมานของผู้ป่วยไว้โดยไม่ตั้งใจ เบื้องลึกของการตัดสินใจนั้นมักซ่อนเร้นด้วยความกลัวที่จะสูญเสียและความรู้สึกที่ว่า “ฉันจะขาดเขาไม่ได้” ซึ่งเป็นความเห็นแก่ตัวที่ซ่อนอยู่ในความรัก ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความกลัวในเชิงจิตวิญญาณเข้ามาเกี่ยวข้อง หลายคนกังวลว่า “ถ้าปล่อยไป ฉันจะบาปไหม” ซึ่งเป็นการคำนึงถึงผลกรรมของตนเองมากกว่าความสงบสุขของผู้ป่วย และสุดท้ายคือแรงกดดันจากสังคมภายนอก หรือความกลัวคำครหา โดยเฉพาะในครอบครัวของบุคลากรทางการแพทย์ ที่การปล่อยให้พ่อแม่จากไปอย่างสงบอาจถูกคนรอบข้างมองว่า “ไม่กตัญญู”

คุณหญิงจำนงศรี อธิบายว่า ตามธรรมชาติเมื่อร่างกายรู้ว่ากำลังจะถึงจุดสิ้นสุด สมองจะหลั่งสารระงับประสาทตามธรรมชาติ (Natural Tranquilizer) ทำให้ผู้ป่วยค่อย ๆ หลับไปอย่างสงบ แต่การให้น้ำเกลือหรือสารอาหารมากเกินไปในช่วงท้าย อาจทำให้น้ำท่วมปอดและเสียชีวิตอย่างทรมาน ประสบการณ์และความรู้เหล่านี้จึงกลายเป็นภารกิจของชีวามิตรในการให้ความรู้ เพื่อให้ “ความกตัญญูที่แท้จริง” คือการปล่อยให้คนที่เรารักได้จากไปอย่างสมศักดิ์ศรีและสงบที่สุด

“คืนสู่ดิน”: เมื่อร่างกายคือทรัพยากรล้ำค่าชิ้นสุดท้าย

เมื่อเข้าใจการ “ตายดี” แล้ว ก้าวต่อไปที่ท้าทายและน่าสนใจยิ่งกว่าคือ จะทำอย่างไรกับร่างกายหลังความตาย?

คุณหญิงจำนงศรี ได้ตั้งคำถามที่ชวนให้ฉุกคิดว่า “ในเมื่อทั้งชีวิตเราใช้ทรัพยากรของโลกมาตลอด พอถึงวันที่เราจากไป จะดีแค่ไหนถ้าเราได้ตอบแทนโลกเป็นครั้งสุดท้าย…ด้วยการคืนร่างกายของเรากลับสู่ธรรมชาติ?”

และชี้ให้เห็นว่าการเผาศพตามประเพณีปัจจุบันสร้างมลภาวะมหาศาล ทั้งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไดออกซิน และมีเทน ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะเรือนกระจกและฝุ่น PM 2.5 อีกทั้งการใช้ฟืนยังเป็นการทำลายต้นไม้อีกด้วย

นี่จึงเป็นที่มาของแนวคิด “คืนสู่ดิน” ซึ่งเป็นการจัดการร่างกายหลังความตายที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีหลากหลายวิธี เช่น Green Burial, Alkaline Hydrolysis และ Human Composting (Recompose) คือกระบวนการที่ป้าศรีให้ความสนใจเป็นพิเศษ โดยนำร่างไปไว้ในภาชนะร่วมกับส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น เศษไม้ ฟาง และเห็ด เพื่อให้จุลินทรีย์ทำหน้าที่ย่อยสลายภายในเวลา 5-6 สัปดาห์ จนร่างกายแปรสภาพเป็น ดินที่อุดมด้วยสารอาหาร อย่างสมบูรณ์

วิสัยทัศน์แห่งอนาคต: ‘ป่าสุสานและระบบนิเวศเศรษฐกิจใหม่

แนวคิดนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่การสร้างดิน แต่ คุณหญิงจำนงศรี ยังมองไกลไปถึงการสร้างระบบนิเวศใหม่ทั้งหมด โดยเสนอแนวคิดในการเปลี่ยนที่ดินรกร้างว่างเปล่า ให้กลายเป็น “ป่าสุสาน” หรือสวนพักผ่อนที่งดงาม ที่ดินจากกระบวนการ Recompose จะถูกนำมาสร้างชีวิตใหม่ให้ผืนป่า

ระบบเศรษฐกิจใหม่ที่จะเกิดขึ้นตามมา ตั้งแต่ไอเดียธุรกิจ Startup รับจัดการกิ่งไม้ใหญ่ที่เป็นปัญหา นำมาสับย่อยเพื่อใช้ในกระบวนการ ไปจนถึงการผลักดันให้เกิด “พระราชบัญญัติสุสาน” เพื่อกำกับดูแล และการสร้างอาชีพใหม่ ๆ เช่น “ภูมิสถาปนิก” ที่มีใบอนุญาตออกแบบป่าสุสานโดยเฉพาะ

บทสรุปของวงสนทนานี้ได้มอบมุมมองใหม่ให้กับเราว่า ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุดที่น่ากลัวหรือเป็นภาระต่อโลก แต่สามารถเป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะได้ขอบคุณและมอบของขวัญล้ำค่าคืนสู่ธรรมชาติ เป็นการปิดฉากวงจรชีวิตอย่างสมบูรณ์ ดั่งใบไม้ที่ร่วงหล่นเพื่อเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ต้นใหม่ได้เติบโต และคำประกาศที่ทรงพลังที่สุดก็มาจากตัว คุณหญิงจำนงศรี เอง ที่พร้อมอุทิศตนเป็นบทพิสูจน์แรกให้กับแนวคิดนี้

“ป้าอายุ 86 ถ้าไปเนี่ยเร็ว ๆ นี้ ถ้าเป็นศพแรกล่ะ เพื่อจะพิสูจน์ว่า… ใครจะยอม”

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

AI เพื่อนรัก…หรือภัยเงียบ? เจาะลึกความสัมพันธ์มนุษย์-ปัญญาประดิษฐ์ผ่านมุมมองจิตแพทย์

ท๊อป จิรายุส ควงทีมแพทย์ แก้ความเชื่อผิด ๆ เรื่องสุขภาพ

×

Share

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ผู้เขียน