Share on
×

Share

ผ่าทางรอด! ยุค AI & Deep Tech ครองเมือง

ผ่าทางรอด! ยุค AI & Deep Tech ครองเมือง

เทคโนโลยีไม่ใช่เพียงเครื่องมืออำนวยความสะดวกอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่รื้อและสร้างโครงสร้างเศรษฐกิจโลกใหม่ (Game Changer) ท่ามกลางคำถามสำคัญในแวดวงธุรกิจและการลงทุนทั่วโลกว่า สถานการณ์ขณะนี้คือภาวะ “ฟองสบู่” (Bubble) ของเทคโนโลยีหรือไม่ และเมื่อคลื่นลูกนี้พัดผ่านไป ใครคือผู้ที่จะยืนหยัดอยู่ได้ในฐานะผู้ชนะตัวจริง

เวทีเสวนา “Game Changing Technology” ในงาน Follow the Future 2025 โดยสองกูรูชั้นนำของไทย ดร.สันติธาร เสถียรไทย ที่ปรึกษาด้าน Future Economy สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และอดีตผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ร่วมกับ มนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (LH Fund) ร่วมกันถอดรหัสทิศทางของ AI, Quantum Computing และ Space Economy ไว้อย่างน่าสนใจ

ภูมิรัฐศาสตร์ AI: เบื้องหลังสงครามเทคโนโลยีและคำถามเรื่องฟองสบู่ลูกใหม่

ภูมิรัฐศาสตร์ AI: เบื้องหลังสงครามเทคโนโลยีและคำถามเรื่องฟองสบู่ลูกใหม่

ดร.สันติธาร กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ว่า แรงขับเคลื่อนสำคัญในขณะนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงมิติทางธุรกิจเท่านั้น แต่กำลังขยายตัวไปสู่สิ่งที่เรียกว่าสงครามการสะสมอาวุธทางเทคโนโลยี หรือ AI Arms Race ซึ่งเป็นการช่วงชิงความได้เปรียบระหว่างมหาอำนาจโลก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและจีน อันเป็นประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่มีฝ่ายใดยอมเพลี่ยงพล้ำให้แก่กัน การแข่งขันนี้เกิดขึ้นอย่างดุเดือดในทุกระดับชั้นของห่วงโซ่อุปทาน

ในฟากฝั่งของสหรัฐอเมริกานั้น เลือกที่จะทุ่มงบประมาณมหาศาลลงไปที่ระดับโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเปรียบเสมือนต้นน้ำและกลางน้ำของอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการเร่งสร้าง Data Center ขนาดใหญ่และการเตรียมระบบพลังงานเพื่อป้อนให้กับสมองกลอัจฉริยะ รวมถึงการแข่งขันกันสร้างโมเดล AI ของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Google, Gemini และ Anthropic

ในขณะที่ยุโรปซึ่งเดิมทีมีภาพลักษณ์เป็นผู้นำด้านการกำหนดกฎระเบียบที่เข้มงวด เช่น GDPR ก็เริ่มปรับเปลี่ยนท่าทีให้ผ่อนคลายลง เนื่องจากตระหนักดีว่าความเข้มงวดที่มากเกินไปอาจกลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้สูญเสียความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก

ส่วนทางด้านจีนนั้นมีความโดดเด่นอย่างยิ่งในระดับปลายน้ำ โดยเน้นการนำเทคโนโลยีรวมถึงระบบ Open Source มาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์จริง หรือ Use Case ผ่านแพลตฟอร์มที่มีฐานผู้ใช้งานจำนวนมหาศาลอย่าง Alibaba และ Tencent

ประเด็นที่น่าจับตามองไม่แพ้กันคือข้อสงสัยเรื่องความคุ้มค่าของเม็ดเงินลงทุนมหาศาลที่นำไปสู่คำถามว่าโลกกำลังเผชิญกับภาวะฟองสบู่หรือไม่ ซึ่งดร.สันติธารได้สะท้อนมุมมองจากวงในของสหรัฐฯ ว่า ทุกฝ่ายยอมรับตรงกันว่าสถานการณ์ปัจจุบันคือฟองสบู่แน่นอน แต่เป็นฟองสบู่ที่ถูกมองออกเป็นสองมุมมองที่แตกต่างกัน

มุมมองแรกคือมุมมองแบบสาธารณูปโภคที่เปรียบ AI เสมือนไฟฟ้าซึ่งจำเป็นต่อเศรษฐกิจโลก แม้ตอนนี้จะดูเหมือนมีการลงทุนเกินตัว แต่ความต้องการในอนาคตนั้นมหาศาลจนการลงทุนที่มีอยู่ในปัจจุบันอาจยังไม่เพียงพอเสียด้วยซ้ำ ส่วนอีกมุมมองหนึ่งคือการเทียบเคียงกับวิกฤติดอทคอม โดยเชื่อว่าฟองสบู่จะแตกและกวาดล้างบริษัทที่ไม่มีพื้นฐานธุรกิจจริงให้ล้มหายตายจากไป แต่หลังจากวิกฤตผ่านพ้นไป ผู้นำตัวจริงจะผงาดขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง เหมือนกับการกำเนิดของ Amazon ในยุคหลังฟองสบู่ดอทคอม

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในเชิงตัวเลขทางการเงิน คุณมนรัฐ กล่าวว่า แม้มูลค่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในปัจจุบันจะดูสูง แต่พื้นฐานทางการเงินกลับแข็งแกร่งกว่ายุคดอทคอมมาก โดยสัดส่วนรายจ่ายลงทุนต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณร้อยละ 60 ซึ่งแตกต่างจากยุคดอทคอมที่ตัวเลขนี้พุ่งสูงถึงร้อยละ 140 นอกจากนี้ อัตราส่วนหนี้สินต่อกำไรของกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั้ง 7 แห่ง หรือ Magnificent Seven ยังอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.8 เท่า จึงประเมินว่าความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตล้มละลายรุนแรงนั้นมีน้อยกว่าในอดีต แม้อาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการปรับฐานราคาขึ้นบ้างตามกลไกตลาด

โลกใบใหม่กับชนชั้นทางเศรษฐกิจในยุค AI ครองเมือง

ดร.สันติธาร นำเสนอภาพโครงสร้างชนชั้นทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่จะเกิดขึ้นในยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI Economy Class System) โดยจำแนกมนุษย์และองค์กรออกเป็นสี่กลุ่มหลักตามความสามารถในการปรับตัวและการครอบครองทรัพยากร

กลุ่มแรกคือผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารซึ่งเปรียบเสมือนเจ้าที่ดินในโลกยุคใหม่ (AI Landlords) คนกลุ่มนี้คือผู้ครอบครองปัจจัยการผลิตที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน ชิปประมวลผล ไปจนถึงโมเดลปัญญาประดิษฐ์ พวกเขาจึงมีสถานะเสมือนผู้เก็บค่าเช่าจากผู้ใช้งานทุกคนในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งในปัจจุบันตำแหน่งเหล่านี้มักถูกจับจองโดยบริษัทยักษ์ใหญ่จากมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน

รองลงมาคือกลุ่มมนุษย์กึ่งจักรกล (Cyborgs) ซึ่งหมายถึงกลุ่มคนทำงานที่รู้จักนำ AI มาเป็นอาวุธคู่กายเพื่อทุ่นแรงและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือแพทย์ที่ใช้ AI ช่วยในการวินิจฉัยโรค หรือนักสร้างสรรค์ที่ใช้เทคโนโลยีช่วยผลิตผลงานคุณภาพสูง

ในขณะเดียวกันก็ยังมีพื้นที่สำหรับกลุ่มผู้รอดด้วยอัตลักษณ์มนุษย์ (Traditionalists) ซึ่งเป็นกลุ่มอาชีพที่เน้นการใช้ทักษะความเป็นมนุษย์ ความเห็นอกเห็นใจ หรือทักษะฝีมืออันละเอียดอ่อนที่ AI ยังไม่สามารถเลียนแบบหรือทดแทนได้อย่างสมบูรณ์

ส่วนกลุ่มสุดท้ายที่น่ากังวลที่สุดคือผู้ถูกแทนที่ (The Displaced) ซึ่งประกอบด้วยผู้ที่ไม่ยอมปรับตัว ไม่เปิดรับการใช้เทคโนโลยี และยังคงทำงานในรูปแบบซ้ำเดิมที่ AI สามารถทำหน้าที่แทนได้ดีกว่า ส่งผลให้คนกลุ่มนี้เผชิญความเสี่ยงสูงที่จะตกงานหรือถูกกดค่าแรงให้ต่ำลง

ประเด็นที่น่าขบคิดสำหรับประเทศไทยคือความท้าทายในการเตรียมความพร้อมของประชากร เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่ไทยจะมีสัดส่วนของคนในกลุ่มเจ้าที่ดินน้อย ในขณะที่อาจมีประชากรจำนวนมากไหลลงไปสู่กลุ่มผู้ถูกแทนที่หากไม่มีการวางแผนรับมือที่ดีพอ

เจาะลึก Deep Tech: พลังแห่งควอนตัมและน่านฟ้าเศรษฐกิจอวกาศ

นอกเหนือจากกระแสปัญญาประดิษฐ์แล้ว คุณมนรัฐยังได้ชี้ให้เห็นถึงเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกอีกสองด้านที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยเริ่มจากเทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้งที่เปรียบเสมือนพลังคำนวณเหนือจินตนาการ ระบบนี้ทำงานด้วยหน่วยประมวลผลที่เรียกว่าคิวบิต ซึ่งมีความพิเศษตรงที่สามารถเป็นสถานะศูนย์และหนึ่งได้ในเวลาเดียวกัน แตกต่างจากคอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบันที่ประมวลผลเป็นลำดับขั้นตอน ส่งผลให้ควอนตัมสามารถประมวลผลแบบขนานได้อย่างรวดเร็ว

ศักยภาพอันมหาศาลนี้สามารถสร้างประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น การย่นระยะเวลาการวิจัยยาใหม่จากเดิมที่ต้องใช้เวลาเป็นสิบปีให้เหลือเพียงหนึ่งปี หรือการจำลองวัสดุศาสตร์เพื่อสร้างวัสดุใหม่สำหรับเครื่องบินที่ประหยัดพลังงาน อย่างไรก็ตาม ความล้ำหน้านี้ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงด้านความปลอดภัยเช่นกัน เนื่องจากศักยภาพของควอนตัมอาจถูกนำมาใช้เจาะรหัสความปลอดภัย หรือการถอดรหัส Encryption ของระบบการเงินในปัจจุบัน ทำให้หน่วยงานระดับโลกและธนาคารกลางต่างๆ ต้องเร่งเตรียมระบบให้พร้อมรองรับความปลอดภัยระดับควอนตัม หรือ Quantum Safe ภายในปี 2030

อีกหนึ่งน่านฟ้าแห่งโอกาสใหม่คือเศรษฐกิจอวกาศที่กำลังเปลี่ยนโฉมจากการผูกขาดโดยภาครัฐมาสู่การขับเคลื่อนโดยภาคเอกชน (New Space Economy) ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนนี้คือต้นทุนการขนส่งอวกาศที่ลดลงอย่างมหาศาลจากการพัฒนาเทคโนโลยีของสเปซเอ็กซ์ ที่ทำให้ค่าขนส่งลดฮวบจากเดิมที่สูงถึงหกหมื่นดอลลาร์ต่อกิโลกรัม เหลือเพียงประมาณสองพันเจ็ดร้อยดอลลาร์ต่อกิโลกรัม การลดลงของต้นทุนนี้เอื้อให้เกิดธุรกิจดาวเทียมวงโคจรต่ำสำหรับให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและการถ่ายภาพความละเอียดสูงเพื่อใช้ในการเกษตรแม่นยำ หรือแม้แต่การบริหารจัดการท่าเรือได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยุทธศาสตร์ความอยู่รอด: จากระดับชาติสู่การปรับตัวของปัจเจกบุคคล

ในระดับยุทธศาสตร์ชาติ ดร.สันติธารได้สะท้อนมุมมองว่าประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งค้นหาจุดยืนใหม่ เนื่องจากโมเดลเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมกำลังเดินทางมาถึงทางตัน การจะก้าวข้ามผ่านจุดนี้ไปได้ ไทยควรหันมาสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล (Data Infrastructure )ของตนเอง โดยเฉพาะการรวบรวมข้อมูลเฉพาะทางที่มีคุณค่า เช่น ข้อมูลสุขภาพของคนไทย เพื่อนำไปต่อยอดในระดับแอปพลิเคชันและการใช้งานจริง

นอกจากนี้ ยังต้องส่งเสริมการสร้างธุรกิจสตาร์ตอัปเปรียบเสมือนจรวดขับเคลื่อนเศรษฐกิจในสาขาที่ไทยมีความเชี่ยวชาญเป็นทุนเดิม อย่างอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการแพทย์ ควบคู่ไปกับการสร้างระบบสปริงบอร์ดหรือตาข่ายรองรับทางสังคม เพื่อช่วยเหลือและเร่งพัฒนาทักษะใหม่ให้แก่ประชาชนที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

สำหรับภาคธุรกิจและบุคคลทั่วไป ดร.สันติธารได้ให้คำแนะนำผ่านสามคาถาสำคัญสำหรับการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ประการแรกคือการสร้างความรู้ความเชี่ยวชาญในสายงานอย่างลึกซึ้ง (Deep Domain Knowledge) เพราะในวันที่ปัญญาประดิษฐ์สามารถค้นหาคำตอบให้เราได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่มีมูลค่าสูงกว่ากลับกลายเป็นการตั้งคำถาม การจะตั้งคำถามที่เฉียบคมเพื่อสั่งการ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นต้องอาศัยมนุษย์ที่มีความรู้ในศาสตร์นั้น ๆ อย่างแตกฉาน

ประการต่อมาคือการกล้ารื้อและออกแบบกระบวนการทำงานใหม่ (Redesign Process) โดยไม่ควรทำเพียงแค่นำเทคโนโลยีมาเสริมในขั้นตอนการทำงานเดิม แต่ต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการทำงานทั้งหมดเพื่อให้สอดรับกับศักยภาพของเทคโนโลยี เปรียบเสมือนวิวัฒนาการจากการเล่นละครเวทีมาสู่การสร้างภาพยนตร์ที่ต้องเปลี่ยนวิธีการถ่ายทำและการเล่าเรื่องใหม่ทั้งหมด

และประการสุดท้ายคือการมองภาพลูกค้าในมุมใหม่ (Reimagine Customer) เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่จะเปลี่ยนไปในอนาคต ซึ่งเราอาจไม่ได้ทำการค้าขายกับมนุษย์โดยตรงอีกต่อไป แต่ต้องนำเสนอสินค้าและบริการผ่านตัวแทนปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI Agent ที่จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวในการตัดสินใจแทนลูกค้า

การเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เพียงกระแสชั่วคราวที่พัดผ่านไป แต่ถือเป็นการปฏิวัติโครงสร้างพื้นฐานของโลกครั้งสำคัญ การทำความเข้าใจและเตรียมความพร้อมจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดเดียวที่จะทำให้ทุกคนก้าวผ่านเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างมั่นคง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ชี้ชะตา 2026: ‘ร่างพ.ร.บ. สตาร์ตอัป’ เดิมพันสุดท้ายกู้ชีพวิกฤติทุนไหลออก

VI ปะทะ Alpha: เดิมพันเวียดนาม-วิวาทะฟองสบู่ AI

×

Share

ผู้เขียน