เมื่อ ‘นักสร้างสรรค์เนื้อหา (Content Creator)’ ก้าวข้าม ‘งานอดิเรก’ สู่ ‘ทางรอด’ ของเศรษฐกิจไทย: เจาะลึกปฏิบัติการ ‘ผลสัมฤทธิ์ทันที (Quick Win)’ และยุทธศาสตร์พลิกโฉมวงการสื่อสร้างสรรค์”
ปรากฏการณ์ “เศรษฐกิจครีเอเตอร์ (Creator Economy)” ได้ขยับสถานะจากการเป็นเพียงงานอดิเรกหรืออาชีพเสริม ก้าวขึ้นมาเป็นฟันเฟืองจักรกลสำคัญในการขับเคลื่อน ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) โดยมีโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายคือการเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้อัลกอริทึมที่ผันผวนและการแข่งขันไร้พรมแดน
เวทีเสวนาหัวข้อ “การตอบรับนโยบายครีเอเตอร์ (Response to Creator Policy)” ภายในงาน “CREATORVERSE: SHAPING THAILAND CREATOR ECONOMY” ขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจครีเอเตอร์ไทย นับเป็นหมุดหมายสำคัญเมื่อภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคเอกชน ผนึกกำลังประกาศ “ผลสัมฤทธิ์ทันที (Quick Win)” ที่มาพร้อมกรอบเวลาและงบประมาณที่จับต้องได้ เพื่อยกระดับนักสร้างสรรค์เนื้อหาไทยให้เป็น “อาชีพ” ที่มีเกียรติและเลี้ยงชีพได้อย่างมั่นคง โดยมีรายละเอียดเชิงลึกที่น่าสนใจดังนี้
เปลี่ยนกรอบความคิด (Mindset): เมื่อเศรษฐกิจสร้างสรรค์คือ “ทางรอด”
ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (กองทุนสื่อ) กล่าวเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่สังคมไทยต้องปรับเปลี่ยนมุมมองต่อคำว่า เศรษฐกิจครีเอเตอร์ (Creator Economy) ใหม่ว่า นี่ไม่ใช่เรื่องโก้หรู แต่คือ “ทางรอดของประเทศ”
ดร.ธนกร ขยายความถึงบริบททางเศรษฐกิจที่บีบคั้นว่า เศรษฐกิจภาคการผลิตดั้งเดิมกำลังเผชิญทางตัน ทั้งข้าว ยางพารา หรือทุเรียน ล้วนมีคู่แข่งที่น่ากลัว การท่องเที่ยวหากเน้นเพียงปริมาณตัวเลขนักท่องเที่ยว 40 ล้านคนโดยไม่เน้นคุณภาพ ย่อมไปไม่รอดในระยะยาว ทางออกเดียวคือการขาย “คุณค่า” ความเชื่อ และ อำนาจสร้างสรรค์ (Soft Power) ผ่านเนื้อหา ซึ่งกองทุนสื่อฯ รับลูกทันทีด้วยนโยบาย ผลสัมฤทธิ์ทันที (Quick Win) ปรับกระบวนทัศน์การให้ทุนใหม่ “แยกปลาออกจากน้ำ” ระหว่างภาคประชาชนและภาคธุรกิจ เพื่อการสนับสนุนที่แม่นยำและแก้ปัญหาการแย่งชิงทรัพยากร
ปฏิบัติการผลสัมฤทธิ์ทันที (Quick Win): ทุนด่วนทุนตรงทุนสร้างตัว
ไฮไลต์ที่ต้องจับตามองคือ การเปิดรับข้อเสนอโครงการภายในวันที่ 29 ธันวาคมนี้โดยกองทุนสื่อฯ ปรับโครงสร้างทุนแบ่งกลุ่มเป้าหมายชัดเจนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากร และสร้างโอกาสให้ครอบคลุมทุกมิติ
- กลุ่มเปราะบางและศักยภาพเฉพาะ (Individual Track): เน้นการให้โอกาสคนตัวเล็ก โดยแบ่งย่อยเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ เยาวชน (ไม่เกิน 25 ปี) เพื่อสร้าง ทักษะใหม่ (New Skill), ผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) เพื่อรองรับสังคมสูงวัย, ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส, ศิลปินทุกแขนง และ ผู้ทรงอิทธิพลทางความคิด (Influencer) หน้าใหม่หรือสื่อบุคคล โดยมีวงเงินสนับสนุนไม่เกิน 5 แสนบาท เพื่อให้เกิดการเริ่มต้นได้ทันที
- กลุ่มผู้ประกอบการ (SME & Startup Track): แยกช่องทางสำหรับนิติบุคคลที่ต้องการทำธุรกิจสื่อจริงจัง งบสนับสนุนไม่เกิน 2 ล้านบาท เพื่อป้องกันรายใหญ่เบียดเบียนรายเล็ก และมุ่งเน้นการสร้างโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืนมากกว่าการผลิตงานชิ้นเดียวจบ
- กลุ่มยุทธศาสตร์และความร่วมมือ (Collaborative Track): สำหรับโปรเจกต์ที่มี ผลกระทบสูง (High Impact) เช่น ซีรีส์วาย, แอนิเมชัน, ภาพยนตร์ หรือแคมเปญระดับประเทศ ที่ต้องอาศัยทุนจดทะเบียนสูงและการ ลงทุนร่วม (Matching Fund) กับภาคเอกชน เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมสู่สากล
มาตรฐานวิชาชีพ: เส้นแบ่งระหว่าง “ตัวจริง” กับ “อาชญากร“
ในมุมมองภาคเอกชน สุวิตา จรัญวงศ์ ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เทลสกอร์ จำกัด สะท้อนปัญหาเรื่อง “มาตรฐาน (Standardization)” และ กระบวนการทำความรู้จักลูกค้า (KYC – Know Your Customer) โดยระบุว่าแพลตฟอร์มและสังคมต้องนิยามคำว่า “นักสร้างสรรค์เนื้อหา” เสียใหม่ แยกแยะผู้สร้างสรรค์เนื้อหาคุณภาพออกจาก “อาชญากรไซเบอร์” หรือผู้ผลิตขยะข้อมูลที่สร้างความเสียหาย
คุณสุวิตาเสนอโมเดลการทำงานร่วมกัน 3 ฝ่าย คือ ภาคการศึกษาเป็นผู้กำหนดมาตรฐานและออก ใบรับรอง (Certification), ภาคเอกชน (แพลตฟอร์ม/เอเจนซี่) ให้ความสำคัญกับการจ้างงานผู้ที่มีใบรับรองก่อน และภาครัฐสนับสนุนงบประมาณ ซึ่งจะช่วยคัดกรองบุคลากรคุณภาพเข้าสู่ตลาด สร้างความเชื่อมั่นให้แบรนด์และ ตัวแทนโฆษณา (Agency) ลดปัญหาการหลอกลวง และยกระดับวิชาชีพให้เป็นที่ยอมรับทัดเทียมอาชีพอื่นๆ
กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น: ขุมทรัพย์อำนาจสร้างสรรค์ (Soft Power)
ขจร เจียรนัยพานิชย์ บรรณาธิการบริหาร Rainmaker ชี้เป้าไปที่โอกาสมหาศาลในพื้นที่ต่างจังหวัด ข้อมูลระบุว่านักสร้างสรรค์เนื้อหาไทยเกือบ 1 ใน 4 อาศัยอยู่นอกกรุงเทพฯ และมีแนวโน้มกระจายตัวมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมการบริโภคสื่อของคนไทยที่เสพความบันเทิงควบคู่กับ การช้อปปิ้งผสานความบันเทิง (Shoppertainment)
คุณขจรยกตัวอย่างรูปธรรมของพลัง “อินฟลูเอนเซอร์ระดับไมโคร (Micro-Influencer)” ท้องถิ่น ร้านอาหารลับในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่เคยมีใครรู้จัก กลับกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิตได้ด้วยคลิปสั้นเพียงคลิปเดียวจากคนในพื้นที่ที่เข้าใจบริบท ภาษา และวัฒนธรรมดีกว่าคนกรุงเทพฯ นี่คือกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจท้องถิ่น (Local Economy) หากได้รับการสนับสนุนเครื่องมือและความรู้ที่ถูกต้อง พวกเขาจะเป็นกระบอกเสียงที่ทรงพลังที่สุดของจังหวัด ยิ่งกว่าการประชาสัมพันธ์แบบเดิมๆ
ความท้าทาย: อัลกอริทึมต่างชาติและพลังแห่งการรวมตัว
แม้โอกาสเปิดกว้าง แต่ความเสี่ยงจากการพึ่งพา “แพลตฟอร์มต่างชาติ” ที่เรากำหนดกติกาเองไม่ได้ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, YouTube หรือ TikTok ที่มีอัลกอริทึมซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทางออกที่ทั้งคุณขจรและคุณสุวิตาเห็นพ้องต้องกันคือ “การรวมตัว”
ถึงเวลาที่นักสร้างสรรค์เนื้อหาไทยต้องเลิกทำงานแบบ “ศิลปินเดี่ยว” และรวมกลุ่มเป็น “สมาคมผู้ผลิตเนื้อหา” หรือสหภาพ เพื่อสร้าง อำนาจต่อรอง (Negotiation Power) กับแพลตฟอร์มระดับโลก รวมถึงการเรียกร้องสวัสดิการพื้นฐาน เช่น การเข้าถึงระบบประกันสังคม การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินที่มักมองข้ามอาชีพอิสระ และการสร้างมาตรฐานราคากลาง เพื่อไม่ให้เกิดการตัดราคากันเอง
บทบาทสถาบันการศึกษา: พื้นที่ลองผิดลองถูกก่อนลงสนามจริง
ปิดท้ายด้วยมิติเชิงนโยบายจาก รศ.ดร.วงกต วงศ์อภัย รองผู้อำนวยการ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ที่ย้ำว่าบทบาทภาคการศึกษาต้องเปลี่ยนจากการสอนบรรยายในห้องเรียนสู่การสร้าง “ห้องปฏิบัติการนักสร้างสรรค์ (Creator Lab)” หรือ “นิเทศศาสตร์แล็บ” กระจายอยู่ตามมหาวิทยาลัยทั่วภูมิภาค
พื้นที่นี้จะไม่ใช่ห้องทดลองเคมี แต่เป็นพื้นที่ที่มีอุปกรณ์ครบครัน ทั้งสตูดิโอ กล้อง ไฟ และคอมพิวเตอร์ตัดต่อ ให้นักสร้างสรรค์เนื้อหาท้องถิ่น นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ได้เข้ามา “ปล่อยของ” ลองผิดลองถูก และพัฒนาทักษะ (Upskill/Reskill) โดยรัฐพร้อมสนับสนุนงบประมาณด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้มหาวิทยาลัยทำหน้าที่เป็น พื้นที่ทดลอง (Sandbox) หรือสนามเด็กเล่นทางปัญญา ให้คนได้ล้มเหลวและเรียนรู้ก่อนออกไปเผชิญโลกธุรกิจจริง ซึ่งโมเดลนี้จะช่วยลดต้นทุนในการเริ่มต้นอาชีพและขยายโอกาสให้คนไทยเข้าถึงเครื่องมือทำกินได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น
ประเทศไทยเปี่ยมด้วยวัตถุดิบชั้นดี ทั้งคนเก่งและวัฒนธรรมที่ขายได้ ขาดเพียงการร้อยเรียงและระบบสนับสนุนที่แข็งแรง การประกาศผลสัมฤทธิ์ทันที (Quick Win) ครั้งนี้จึงมิใช่เพียงการมอบเงินทุน แต่เป็นการประกาศศักราชใหม่ที่ “นักสร้างสรรค์เนื้อหา (Content Creator)” ถูกยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ เป็นฟันเฟืองเศรษฐกิจที่จับต้องได้ และเป็นความหวังใหม่ของประเทศไทยอย่างแท้จริง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
พลิกโฉม Creator Economy ไทย: ปั้น ‘คนทำสื่อ’ สู่ ‘นักรบเศรษฐกิจ’ ที่ยั่งยืน
วิสัยทัศน์ ‘ดร.นิเวศน์’ กับทางรอดนักลงทุน VI เมื่อ AI ครองเมือง




