ท่ามกลางวิกฤติซ้อนวิกฤติ ทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ วิกฤติสภาพภูมิอากาศ และภาวะเศรษฐกิจโลก เวที ESG Symposium 2025 ผนึกกำลังผู้นำจากทุกภาคส่วน เพื่อส่งเสียงเตือนและเสนอทางรอดให้ประเทศไทย ผ่านการขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำที่ต้อง “แข่งขันได้ เข้าถึงง่าย และขับเคลื่อนได้จริง” โดยได้สรุป 3 วาระสำคัญเร่งด่วนที่เป็นเดิมพันอนาคตของประเทศ ได้แก่ การเร่งเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) การสนับสนุน SMEs สู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ (Just Transition for SMEs) และ การปรับตัวรับมือสภาวะโลกรวน (Climate Adaptation)
งานเสวนาดังกล่าว จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘GREEN BREAKTHROUGH AMID THE PERFECT STORM – เร่งด้วยกรีน รอดด้วยกัน’ โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 300 คนจากภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อร่วมกันออกแบบนโยบายและวางกรอบกลยุทธ์ที่จะช่วยรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ พร้อมรับมือกับความท้าทายรอบด้าน
ภาวะ “หัวเลี้ยวหัวต่อ” พลังงานไทย กับระเบิดเวลา 2 ลูกที่รอวันปะทุ
ประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นเป็นวาระเร่งด่วนที่สุด คือสถานการณ์พลังงานของประเทศที่กำลังอยู่ในภาวะ “หัวเลี้ยวหัวต่อ” อย่างแท้จริง ดร.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการนโยบายพลังงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า ปัจจุบันดัชนีการเปลี่ยนผ่านพลังงานของไทยอยู่ในระดับที่น่ากังวล โดยมีคะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลกและต่ำกว่าประเทศคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย สาเหตุหลักมาจากสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่ยังน้อย การพึ่งพาก๊าซธรรมชาตินำเข้า (LNG) ในสัดส่วนที่สูง และส่งผลให้ราคาค่าไฟของประเทศอยู่ในเกณฑ์สูงเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน
สถานการณ์นี้เปรียบเสมือน “กับดักระเบิดเวลา 2 ลูก” ที่กำลังจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทย คือ ระเบิดลูกเล็ก สำหรับภาคส่งออก ด้วยมาตรการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรปที่จะทำให้สินค้าไทยที่ไม่ได้ผลิตด้วยพลังงานสะอาดต้องเสียภาษีคาร์บอนเพิ่มขึ้น และสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน และระเบิดลูกใหญ่ สำหรับภาคการลงทุน เพราะการที่องค์กรเอกชนชั้นนำระดับโลกโดยเฉพาะกลุ่ม RE100 (บริษัทที่ตั้งเป้าใช้พลังงานหมุนเวียน 100%) มีเป้าหมายชัดเจนที่จะใช้ไฟฟ้าพลังงานสะอาด 100% ในการดำเนินธุรกิจภายในปี 2030 หากประเทศไทยไม่สามารถจัดหาพลังงานสะอาดให้ได้ตามความต้องการ ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะ สูญเสียเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีมูลค่ารวมกันกว่า 1.1 ล้านล้านบาท
ความต้องการใช้ไฟฟ้าของสองภาคส่วนนี้รวมกันคิดเป็น 40% ของความต้องการใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศ นั่นหมายความว่า ภายในปี 2030 ประเทศไทยจำเป็นต้องมีไฟฟ้าพลังงานสะอาดในระบบอย่างน้อย 40% เพื่อรักษาฐานการผลิตและการลงทุนที่สำคัญไว้
ดังนั้น ทางรอดเดียวคือการปลดล็อกตลาดพลังงานเสรี ผ่านการเปิดเสรีให้บุคคลที่สามเข้าใช้โครงข่ายไฟฟ้า (Third-Party Access หรือ TPA) เพื่อกระตุ้นให้ภาคเอกชนเร่งลงทุนผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดและป้อนเข้าสู่ระบบได้อย่างคล่องตัวและเป็นธรรม
หนุน SMEs 3 ล้านราย โจทย์ท้าทายสู่ “การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม”
อีกหนึ่งเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจไทยคือกลุ่มผู้ประกอบการ MSMEs ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 99.5% ของผู้ประกอบการทั้งหมด และมีการจ้างงานกว่า 13 ล้านคน แต่กลับเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุดในการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ ดร.ณพพงศ์ ธีระวร ประธานสมาพันธ์ SME ไทย ชี้ว่า ปัญหาใหญ่ที่ฉุดรั้งผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะกลุ่ม Micro (มีพนักงานไม่เกิน 5 คน รายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี คือการเข้าไม่ถึงมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ
โดยเฉพาะมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ที่มักจะส่งผ่านกลไกของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีเงื่อนไขการพิจารณาสินเชื่อที่เข้มงวดและต้องการเอกสารทางการเงิน (งบการเงิน) ที่ผู้ประกอบการรายย่อยส่วนใหญ่ไม่มี ทำให้ความช่วยเหลือไปไม่ถึงมือคนที่ต้องการอย่างแท้จริง
ข้อเสนอเพื่อสร้างการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม (Just Transition) จึงมุ่งเป้าไปที่การแก้ปัญหานี้โดยตรง ได้แก่ 1. สร้างช่องทางการเงินใหม่ที่ไม่ผ่านธนาคาร เสนอให้จัดตั้ง กองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ Micro และ Small โดยเฉพาะ ซึ่งมีกลไกการพิจารณาที่ยืดหยุ่นกว่าและมีอัตราดอกเบี้ยต่ำประมาณ 3-4% ต่อปี เพื่อเติมสภาพคล่องให้พวกเขาสามารถปรับตัวและลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียวได้
2. จัดตั้ง One Stop Service และ Ecosystem ครบวงจร เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงทั้งเงินทุน องค์ความรู้ และเทคโนโลยีได้อย่างสะดวกในจุดเดียว และ 3. เร่งปรับปรุงกฎระเบียบ ลดขั้นตอนที่ซับซ้อนและเอื้อให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเติบโตและแข่งขันได้อย่างมั่นคงในระยะยาว
“โลกรวน” ไม่ใช่เรื่องไกลตัว เมื่อกรุงเทพฯ เสี่ยงจมน้ำใน 25 ปี
ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ย้ำว่า การเตรียมความพร้อมรับมือวิกฤติโลกรวน (Climate Adaptation) คือโจทย์เร่งด่วนที่เป็น “ทางรอด ไม่ใช่ทางเลือก” โดยในเวทีเสวนาได้มีการนำเสนอข้อมูลแบบจำลองที่น่าตกใจว่า ในอีก 25 ปีข้างหน้า กรุงเทพมหานครอาจต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมจนจมน้ำได้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผลกระทบจากโลกรวนไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
การวางรากฐานเพื่อการปรับตัวจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้ เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างภูมิคุ้มกันอย่างเป็นระบบ
เอสซีจีพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันข้อเสนอจากเวทีเสวนาไปสู่การปฏิบัติจริง ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้ และการลงทุนในโครงการนำร่องความร่วมมือภาครัฐและเอกชน (PPP) เช่น โครงการสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ เพื่อสร้างต้นแบบเมืองคาร์บอนต่ำที่พร้อมรับมือกับทุกความเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ทั้งนี้ ข้อสรุปและข้อเสนอแนะทั้งหมดจากเวที ESG Symposium 2025 จะถูกรวบรวมเป็น สมุดปกขาว (White Paper) เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
KBank ทุ่ม 5 แสนล้าน ปั้นพอร์ตสินเชื่อสีเขียว
เปลี่ยน ‘ขยะไร้ค่า’ สู่ ‘รายได้ใหม่’ โมเดลสถานีขยะรีไซเคิลที่มาบยางพร




