Share on
×

Share

AWS เผย AI ไทยโตพุ่ง แต่เสี่ยงโตกระจุก สกิลคนยังเป็น ‘คอขวด’

AWS เผย AI ไทยโตพุ่ง แต่เสี่ยงโตกระจุก สกิลคนยังเป็น 'คอขวด'

ประเทศไทยกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญบนเวทีปัญญาประดิษฐ์ (AI) แม้ผลสำรวจล่าสุดจาก Amazon Web Services (AWS) จะมองภาพการเติบโตของการใช้ AI ในภาคธุรกิจที่สูงถึง 33% ในปีเดียว แต่ในขณะเดียวกันก็สะท้อนความท้ายทายใหญ่หลวง เมื่อการเติบโตส่วนใหญ่ยังกระจุกตัวในกลุ่มสตาร์ตอัพ ขณะที่องค์กรขนาดใหญ่และ SMEs ยังคงตามหลัง เผชิญปัญหาขาดแคลนทักษะดิจิทัลและกลยุทธ์ที่ชัดเจน สร้างความเสี่ยงให้เกิดเศรษฐกิจ AI สองระดับ (Two-tier AI Economy) ที่อาจฉุดรั้งศักยภาพการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

ผลการศึกษาปลดล็อกศักยภาพ AI ของประเทศไทย (Unlocking Thailand’s AI Potential) ซึ่งจัดทำร่วมกับ Strand Partners ได้สำรวจกลุ่มตัวอย่างภาคธุรกิจ 1,000 แห่งและประชาชน 1,000 คนในไทย พบว่าเกือบ 1 ใน 3 (32%) ของธุรกิจในไทยมีการนำ AI มาใช้อย่างสม่ำเสมอ เพิ่มขึ้นจาก 24% ในปีก่อนหน้า โดยภาคการผลิต, เทคโนโลยี และบริการทางการเงิน เป็น 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่นำ AI ไปใช้ในระดับสูง

วัตสันถิร ภัทรพงศ์ Country Manager ของ AWS ประเทศไทย และ นิค บอนสโตว์ (Nick Bonstow) ผู้อำนวยการบริษัท สแตรนด์ พาร์ทเนอร์ส (Strand Partners) ได้ร่วมกันให้มุมมองต่อผลสำรวจดังกล่าว โดยชี้ให้เห็นถึงโอกาสและความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญ

เศรษฐกิจสองระดับ ความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยีที่น่ากังวล

ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดจากผลสำรวจ คือการปรากฏขึ้นของเศรษฐกิจ AI สองระดับ ซึ่งสะท้อนความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยีที่ชัดเจน คุณนิคชี้ว่า ช่องว่างนี้มีขนาดใหญ่และน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง โดยระดับแรก คือกลุ่มสตาร์ตอัพ ที่กำลังวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลพบว่าธุรกิจกลุ่มนี้กว่าครึ่ง (50%) ได้นำ AI มาปรับใช้แล้ว และที่น่าสนใจคือ 40% กำลังใช้ AI เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ขึ้นมาโดยตรง ซึ่งแสดงถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อการสร้างสรรค์นวัตกรรม

ขณะที่อีกระดับ คือกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ และ SMEs ที่ยังคงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่ที่น่าแปลกใจว่ามีเพียง 18% เท่านั้นที่มีกลยุทธ์ AI ที่ชัดเจนและครอบคลุมทั้งองค์กร ทำให้การใช้งานส่วนใหญ่ยังติดอยู่ในระดับพื้นฐาน เช่น การใช้แชทบอทเพื่อปรับปรุงการเขียน หรือการทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ แทนที่จะเป็นการนำ AI ไปฝังในกระบวนการทางธุรกิจเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ ซึ่งปัจจัยสำคัญที่สร้างช่องว่างนี้ขึ้นมาคือการขาดวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ AI ที่ชัดเจนจากผู้บริหาร ควบคู่ไปกับปัญหาการขาดแคลนทักษะดิจิทัลในบุคลากร

ทักษะดิจิทัลอุปสรรคใหญ่สุดของการเติบโต

ปัญหาใหญ่ที่สุดที่ผลสำรวจชี้ชัดว่าเป็นอุปสรรคขวางกั้นการเติบโตของ AI ในไทย คือการขาดแคลนทักษะดิจิทัล (Digital Skills Gap) โดยเกือบครึ่งหนึ่งของธุรกิจในไทย (47%) ระบุว่านี่คือปัญหาสำคัญที่กำลังฉุดรั้งพวกเขาอยู่

ภาวะขาดแคลนนี้รุนแรงถึงขั้นที่องค์กรต่าง ๆ ยอมรับว่ายินดีที่จะเสนอเงินเดือนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 36% เพื่อให้ได้บุคลากรที่มีทักษะ AI ที่เหมาะสมมาร่วมงาน แต่ในขณะเดียวกัน การลงทุนเพื่อพัฒนาบุคลากรภายในกลับยังไม่เพียงพอ โดยมีพนักงานเพียง 34% เท่านั้นที่ระบุว่าตนเองได้รับการฝึกอบรมด้านดิจิทัลใด ๆ ในปีที่ผ่านมา

คุณวัตสันย้ำว่าประเด็นสำคัญคือ แม้จะมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี แต่หากคนยังคงใช้ AI ได้แค่ในระดับพื้นฐานอย่างการแปลภาษาหรือสรุปข้อความ ก็ไม่สามารถสร้างมูลค่าทางธุรกิจให้กับประเทศได้เต็มที่ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลที่พบว่าองค์กรส่วนใหญ่ยังใช้ AI สำหรับงานพื้นฐานเท่านั้น

คุณนิคเสริมว่าทางออกของปัญหานี้คือการที่องค์กรต้องหันมาให้ความสำคัญอย่างจริงจังทั้งกับการดึงดูดบุคลากรใหม่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการลงทุนฝึกอบรมและอัปสกิลพนักงานที่มีอยู่เดิม

ข้อเสนอแนะ: จากพื้นฐานสู่กลยุทธ์

เพื่อผลักดันให้เกิดการใช้งาน AI ในเชิงลึกและกว้างขวางขึ้น ผู้เชี่ยวชาญได้เสนอแนะแนวทางที่ชัดเจนสำหรับทั้งภาคธุรกิจและภาครัฐ สำหรับภาคธุรกิจ

คุณนิคแนะนำว่า ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งอาจกังวลเรื่องต้นทุนเริ่มต้น ควรปรับแนวทางโดยเริ่มให้เล็กและเริ่มให้เฉพาะเจาะจง คือการระบุ Use Case ที่ชัดเจนเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะจุดก่อน ซึ่งจะช่วยให้เห็นผลตอบแทนจากการลงทุนได้เร็วขึ้น ส่วนองค์กรขนาดใหญ่จำเป็นต้องสร้างวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ AI ที่ครอบคลุมทั้งบริษัทให้ได้

ขณะที่คุณวัตสันเน้นย้ำว่า การจะก้าวข้ามการใช้งานระดับพื้นฐานไปสู่การเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ได้นั้น องค์กรต้องมองไปที่การนำ AI ไปฝังหรือผนวกเข้าไปใน Workflow เพื่อทำงานแทนคนในกระบวนการต่าง ๆ ซึ่ง AWS เองก็พยายามสนับสนุน SMEs ผ่านการทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร เช่น สภาอุตสาหกรรมฯ หรือสถาบันการศึกษา เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวขยายผล (Amplifier) ในการเข้าถึงและพัฒนาทักษะให้กับผู้ประกอบการจำนวนมาก

สำหรับภาครัฐ คุณวัตสันมองว่ายังคงอยู่ในโหมดที่ช้ากว่าภาคเอกชน และสิ่งที่จะเป็นตัวเร่งสำคัญคือการมีนโยบายที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น ท่านเสนอว่าประเทศไทยควรมีนโยบายอย่าง AI-First Policy เช่นเดียวกับที่มี Cloud-First Policy เพื่อเป็นสัญญาณให้ทุกหน่วยงานต้องนำ AI มาพิจารณาเป็นอันดับแรกในการพัฒนากระบวนการ นโยบายดังกล่าวควรนำไปสู่การทบทวนและปรับเปลี่ยนขั้นตอนการทำงานของราชการ (Workflow) เช่น การลดขั้นตอนที่ประชาชนต้องเดินทางไปที่สำนักงานเขต แล้วหันมาใช้เทคโนโลยีอย่าง eKYC เพื่อให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์แทนในด้านการกำกับดูแล

คุณวัตสันและคุณนิคเห็นตรงกันว่า กฎระเบียบควรจะต้องเป็นในทิศทางที่ส่งเสริมนวัตกรรม (Pro-innovation) และส่งเสริมการเติบโต (Pro-growth) คุณนิคชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันค่าใช้จ่ายด้านกฎระเบียบของไทยคิดเป็น 27% ของงบประมาณเทคโนโลยี ซึ่งถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับบางประเทศในยุโรปที่สูงถึง 47% ดังนั้น การรักษาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยดึงดูดการลงทุนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้

อนาคตของ AI ไทย: โอกาสบนความท้าทาย

จากผลการศึกษาปลดล็อกศักยภาพ AI ของประเทศไทย (Unlocking Thailand’s AI Potential) นี้ชี้ให้เห็นภาพอนาคตที่เต็มไปด้วยโอกาสมหาศาล ควบคู่ไปกับความท้าทายที่ต้องเร่งแก้ไข

คุณนิคย้ำว่า ศักยภาพของ AI ในไทยนั้นมีอีกมาก ธุรกิจต่าง ๆ เพิ่งจะแค่เริ่มต้น ยังไปได้อีกไกลมาก อัตราการเติบโตที่สูงถึง 33% ในปีเดียวคือสัญญาณที่ชัดเจนของความตื่นตัว แต่ความสำเร็จที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อความสามารถในการใช้ AI ถูกกระจายออกไปทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ โดยมีกลุ่มสตาร์ตอัพเป็นภาพสะท้อนของสิ่งที่เป็นไปได้ (indication of what is possible) ในการนำ AI มาพลิกโฉมโมเดลธุรกิจและอุตสาหกรรม

ในส่วนของการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับอนาคต คุณวัตสันได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นของ AWS ที่มีต่อประเทศไทยผ่านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การเปิดตัว Local Zone การประกาศลงทุน AWS Region ในไทยด้วยมูลค่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และล่าสุดคือการเปิดให้บริการ Amazon Bedrock ในไทย ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญ

คุณวัตสันอธิบายว่า Bedrock คือแพลตฟอร์มที่จะเข้ามาเพิ่มความคล่องตัวให้องค์กรไทยอย่างมาก โดยเปิดให้เลือกใช้ AI Model ที่หลากหลายจากผู้พัฒนาชั้นนำหลายราย โดยท่านกล่าวว่าจะไม่ใช้วิธีแทงม้าตัวเดียว ซึ่งหมายถึงการลดความเสี่ยงจากการผูกติดกับโมเดลใดโมเดลหนึ่ง และให้อิสระแก่ธุรกิจในการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับงานที่สุด

อย่างไรก็ตาม การมีเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างเดียวไม่เพียงพอ หัวใจสำคัญอยู่ที่การทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้งานได้ คุณวัตสัน กล่าวว่า Democratize AI หรือการทำให้เทคโนโลยี AI เป็นประชาธิปไตย ซึ่งหมายถึงการทำให้ AI เป็นเครื่องมือที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่ใช่จำกัดเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่ ควบคู่ไปกับการยกระดับทักษะของคนให้สามารถใช้เครื่องมือเหล่านั้นสร้างประโยชน์ได้อย่างแท้จริง

ดังนั้น บทสรุปที่ชัดเจนก็คือ อนาคตของ AI ไทยขึ้นอยู่กับการผนึกกำลังของทุกภาคส่วน ทั้งการสร้างคนผ่านการอัปสกิล การวางกลยุทธ์ที่ชัดเจนขององค์กร และการสนับสนุนจากภาครัฐ เพื่อให้แน่ใจว่าโอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาลจาก AI จะถูกปลดล็อกและกระจายไปสู่ทุกคนในประเทศได้อย่างแท้จริง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เปิดมุมมอง Omnichannel: บทเรียนจาก GENTLEWOMAN, JOURNAL, BrandBaker

‘ประสบการณ์ไร้รอยต่อ’ เงื่อนไขเดียวสู่ชัยชนะในสมรภูมิ E-commerce ยุค DEFA

×

Share

ผู้เขียน