Share on
×

Share

Bitcoin vs. หุ้นไทย: ลงทุนอะไรดี? ถอดกลยุทธ์สู้เงินเฟ้อ

Bitcoin vs. หุ้นไทย: ลงทุนอะไรดี? ถอดกลยุทธ์สู้เงินเฟ้อ

ในสภาวะเศรษฐกิจที่ภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยต่ำกำลังส่งผลให้มูลค่าของเงินสดลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง การแสวงหาทางเลือกในการลงทุนจึงกลายเป็นประเด็นสำคัญ เวทีเสวนา “The Investment World Crypto vs Stock” จึงได้นำเสนอการวิเคราะห์สองแนวทางการลงทุนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเป็นการแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ระหว่างตัวแทนจากฝั่ง Bitcoin ได้แก่ โฉลก สัมพันธารักษ์ ผู้ก่อตั้งชมรม CDC Chaloke.com และ พีรยะ สัมพันธารักษ์ นักลงทุน วิทยากร และผู้ก่อตั้งช่องทางให้ความรู้ด้านการเงินและคริปโตเคอร์เรนซีชื่อ “RightShift” กับตัวแทนจากฝั่งหุ้นไทย คือ ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการสายงานกลยุทธ์การลงทุน บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด และ อัครพงศ์ ขวงธนะชัย หรือ คุณแมน เจ้าของเพจ Stock Manday

วิสัยทัศน์ Bitcoin: จากการด้อยค่าของเงิน สู่ Store of Value

โฉลก สัมพันธารักษ์ ผู้ก่อตั้งชมรม CDC Chaloke.com และ พีรยะ สัมพันธารักษ์ นักลงทุน วิทยากร และผู้ก่อตั้งช่องทางให้ความรู้ด้านการเงินและคริปโตเคอร์เรนซีชื่อ "RightShift"
โฉลก สัมพันธารักษ์ ผู้ก่อตั้งชมรม CDC Chaloke.com และ พีรยะ สัมพันธารักษ์ นักลงทุน วิทยากร และผู้ก่อตั้งช่องทางให้ความรู้ด้านการเงินและคริปโตเคอร์เรนซีชื่อ “RightShift”

ประเด็นการคาดการณ์ราคา Bitcoin ที่ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้รับความสนใจอย่างมาก ซึ่งคุณโฉลก อธิบายว่า เป้าหมายดังกล่าวไม่ได้สะท้อนมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของ Bitcoin โดยตรงเพียงอย่างเดียว แต่เป็นภาพสะท้อนของการเสื่อมค่าอย่างรุนแรงของสกุลเงินหลักทั่วโลก โดยเฉพาะเงินดอลลาร์ ปรากฏการณ์นี้มีสาเหตุมาจากการที่รัฐบาลต่าง ๆ พิมพ์เงินเข้าระบบอย่างต่อเนื่อง (Quantitative Easing) ซึ่งบั่นทอนอำนาจซื้อของเงินสกุลนั้น ๆ ในทางกลับกัน สินทรัพย์ที่มีอุปทานจำกัดอย่าง Bitcoin จึงมีมูลค่าสูงขึ้นโดยเปรียบเทียบเมื่อวัดด้วยสกุลเงินที่ด้อยค่าลง โดยคุณโฉลกมองว่าการปรับขึ้นในปัจจุบันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในคลื่นลูกแรกเท่านั้น

ขณะที่คุณพีรยะ ขยายความในเชิงปัจจัยพื้นฐานว่า Bitcoin ถูกออกแบบมาให้เป็นระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Cash System) ซึ่งมีคุณสมบัติสำคัญคือการมีอุปทานจำกัดอย่างตายตัว (Fixed Supply) ที่ 21 ล้านเหรียญ ทำให้ไม่สามารถถูกผลิตเพิ่มหรือเสกขึ้นมาใหม่ได้ตามอำเภอใจ ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากเงินตราที่รัฐบาลเป็นผู้ควบคุม (Fiat Currency)

ด้วยคุณสมบัติด้านความขาดแคลน (Scarcity) นี้ ทำให้ในเฟสแรก Bitcoin สามารถพิสูจน์ตนเองในฐานะ “เครื่องมือเก็บรักษามูลค่า” (Store of Value) หรือสินทรัพย์ที่สามารถคงอำนาจซื้อไว้ได้ในระยะยาว โดยหากใช้โมเดล Stock-to-Flow (อัตราส่วนระหว่างปริมาณสินทรัพย์คงคลังต่อปริมาณที่ผลิตได้ใหม่ในแต่ละปี) มาวัดความขาดแคลน Bitcoin จะมีความแข็งแกร่งกว่าทองคำ เป้าหมายสูงสุดของสินทรัพย์นี้ คือการทำหน้าที่เป็นตัวสะท้อนมูลค่าของระบบเศรษฐกิจโลกทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การจะไปถึงจุดนั้นจำเป็นต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงทางความคิดและการยอมรับในวงกว้างของคนรุ่นใหม่ (Generational Shift) ที่เติบโตและคุ้นเคยกับเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นอย่างดี

มุมมองหุ้นไทย: “Cash Cow” ในภาวะราคาต่ำสุดรอบ 13 ปี

ในขณะที่มุมมองต่อสินทรัพย์ดิจิทัลเน้นไปที่อนาคตและการเติบโตแบบก้าวกระโดด ฝั่งตลาดหุ้นไทยได้นำเสนอภาพที่แตกต่างออกไป โดยเน้นย้ำถึงมูลค่า (Value) และกระแสเงินสด (Cash Flow) ที่จับต้องได้

ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการสายงานกลยุทธ์การลงทุน บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด และ อัครพงศ์ ขวงธนะชัย หรือ คุณแมน เจ้าของเพจ Stock Manday
ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการสายงานกลยุทธ์การลงทุน บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด และ อัครพงศ์ ขวงธนะชัย เจ้าของเพจ Stock Manday

คุณอัครพงศ์ อธิบายว่า ภาวะดัชนีตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันที่ระดับ 1,313 จุด สะท้อนถึงการที่มูลค่าตลาดได้ย้อนกลับไปอยู่ในระดับเดียวกับเมื่อ 13 ปีที่แล้ว สถานการณ์นี้จึงเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ที่มีพื้นฐานดีได้ในราคาที่ต่ำมาก โดยมีระดับ 1,400 จุด เป็นแนวต้านสำคัญทางเทคนิค ซึ่งหากดัชนีสามารถปรับตัวขึ้นไปยืนเหนือระดับดังกล่าวได้ จะถือเป็นสัญญาณยืนยันการฟื้นตัวที่ชัดเจน

ขณะเดียวกัน คุณประกิต ขยายความว่า แม้ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันอาจไม่ได้มีเสน่ห์ในแง่ของการทำกำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) หรือการเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ได้ปรับเปลี่ยนคุณลักษณะเด่นไปสู่การเป็น “Cash Cow” หรือสินทรัพย์ที่สามารถผลิตกระแสเงินสดได้อย่างยอดเยี่ยม

ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนผ่านข้อมูลที่ว่า บริษัทจดทะเบียนไทยมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานรวมกันสูงถึง 2.5 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่กลับมีการนำเงินไปลงทุนต่อ (Capital Expenditure) เพียง 1 ล้านล้านบาท ส่งผลให้มีเงินสดส่วนต่างจำนวนมหาศาลที่ถูกจัดสรรกลับคืนสู่นักลงทุนในรูปแบบของเงินปันผล ทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลโดยเฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยสูงถึง 4% ซึ่งถือเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดในโลก

นอกจากนี้ คุณประกิตยังชี้ให้เห็นถึงสัญญาณบวกจากผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ออกมาดีกว่าคาด ซึ่งอาจเป็นตัวชี้วัดว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยโดยรวมอาจได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และกำลังอยู่ในช่วงของการซ่อมแซมฐานรากเพื่อรอการฟื้นตัวในลำดับถัดไป

ความท้าทายร่วม: การรับมือเงินเฟ้อในยุค TINA

แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีมุมมองต่อการเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่แตกต่างกัน แต่กลับมีจุดยืนร่วมที่เห็นตรงกันว่า ศัตรูหรือความท้าทายที่แท้จริงของนักลงทุนในยุคปัจจุบันคือ “ภาวะเงินเฟ้อ” ซึ่งกำลังบั่นทอนและกัดกินมูลค่าที่แท้จริงของเงินสดที่ถือครองอยู่

คุณประกิต อธิบายสภาวะการณ์นี้ว่าเป็นยุค “TINA” (There Is No Alternative) หรือสภาวะที่ “ไม่มีทางเลือกอื่น” ภาวะดังกล่าวได้บีบให้นักลงทุนจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจากสินทรัพย์ที่เคยถูกมองว่าปลอดภัย เช่น เงินฝาก หรือพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ ไปสู่ “สินทรัพย์เสี่ยง” ประเภทอื่น เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่สามารถเอาชนะหรือชดเชยการด้อยค่าของเงินได้ แนวคิดนี้สอดคล้องกับมุมมองของคุณพีรยะที่ระบุว่า ภาวะเงินเฟ้อเปรียบเสมือนการปล้นรูปแบบหนึ่ง และความปลอดภัยที่แท้จริงจึงอยู่ที่การถือครองสินทรัพย์ที่รัฐบาลไม่สามารถผลิตหรือเสกเพิ่มขึ้นมาได้ตามใจชอบ

เมื่อมองไปในอนาคต คุณประกิต เตือนถึงความเสี่ยงสำคัญจากภาวะการแยกขั้วทางเศรษฐกิจของโลก (Decoupling) ซึ่งอาจนำไปสู่การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง (Super Inflation) ตามมาได้ ดังนั้น ภายใต้สภาวะความไม่แน่นอนสูงนี้ กลยุทธ์การลงทุนที่จำเป็นจึงไม่ใช่การเลือกข้างใดข้างหนึ่ง แต่คือการกระจายความเสี่ยง (Diversification) โดยการจัดสรรเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์หลายประเภท ทั้งหุ้น ทองคำ และคริปโตเคอร์เรนซี เพื่อสร้างสมดุลให้กับพอร์ตการลงทุน

บทสรุปจากเวทีเสวนานี้จึงไม่ได้มุ่งชี้ขาดว่าสินทรัพย์ใดดีที่สุด แต่เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าภูมิทัศน์การลงทุนได้เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง กฎเกณฑ์หรือแนวคิดการลงทุนแบบเดิมอาจไม่สามารถใช้ได้ผลอีกต่อไป นักลงทุนจึงจำเป็นต้องปรับตัวและแสวงหาความสมดุลในการจัดพอร์ตการลงทุน โดยมีเป้าหมายหลักคือการ ปกป้องความมั่งคั่ง (Wealth Protection) จากการถูกด้อยค่าโดยเงินเฟ้อ ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงที่แท้จริงในยุคปัจจุบัน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

จากบัญชีออมทรัพย์สู่ลงทุนคริปโทฯ เมื่อ Gen Z มองความผันผวนเป็นโอกาส

คนละครึ่งพลัส ฟู้ดเดลิเวอรี่ ความหวัง SME สะดุดปม ‘นิติบุคคล 1.8 ล้าน

×

Share

ผู้เขียน