Share on
×

Share

กินคลีนแทบตาย… ถ้า ‘นอน’ ไม่พอก็จบ! สรุปเวทีสุขภาพ Bitkub Summit 2025

กินคลีนแทบตาย... ถ้า 'นอน' ไม่พอก็จบ! สรุปเวทีสุขภาพ Bitkub Summit 2025

ท่ามกลางความล้ำสมัยของโลก Blockchain และคริปโทฯ เวที Bitkub Summit 2025 สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการจัดเสวนาในหัวข้อ “Recode Your Life: Naturally ถอดรหัสชีวิต พิชิตสุขภาพดี” ซึ่งเน้นประเด็น Longevity หรือการมีชีวิตที่ยืนยาว สะท้อนนัยสำคัญว่า แม้จะมุ่งสู่อนาคตไกลเพียงใด การกลับมาดูแลพื้นฐานของชีวิตกลับเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด

และบนเวทีนี้ เหล่าผู้เชี่ยวชาญจากหลายแวดวง นำโดย วู้ดดี้ มิลินทจินดา, ณัชพล กิตติชัยวงศ์ (เชฟทักษ์), พ.ท.นพ.ธรณัส กระต่ายทอง (หมอเดียร์) และ นุติ หุนะสิงห (โจ้อี้) ได้ร่วมกันชี้ประเด็น สรุปบทเรียน และชำแหละความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับสุขภาพ ที่อาจกำลังบั่นทอนชีวิตคนไทยโดยไม่รู้ตัว

การนอน: รากฐานสุขภาพอันดับหนึ่ง ที่สำคัญกว่าอาหารและการออกกำลังกาย

ประเด็นที่โดดเด่นและเป็นเอกฉันท์ที่สุดจากเวทีเสวนา คือการทลายความเชื่อเดิม ๆ โดยยกให้ การนอนหลับ (Sleep) เป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดของการมีสุขภาพดี แซงหน้าอาหารและการออกกำลังกายที่หลายคนมักให้ความสำคัญผิดลำดับ

เหล่าผู้เชี่ยวชาญยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า การนอน คือตัวควบคุมหลัก (Chief Regulator) ของร่างกาย พ.ท.นพ.ธรณัส กระต่ายทอง หรือ “หมอเดียร์”ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ของ V Precision Clinic และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย ได้อธิบายขยายความว่า ต่อให้กินดีหรือออกกำลังกายหนักเพียงใด แต่หากการนอนไม่เพียงพอ ความพยายามทั้งหมดที่ทำมาก็อาจสูญเปล่า

ประเด็นนี้ถูกตอกย้ำด้วยข้อมูลที่น่าตกใจจาก UK Biobank ซึ่งวู้ดดี้ มิลินทจินดา เผยว่า การสำรวจคนกว่า 60,000 คนพบว่า การนอนไม่สม่ำเสมอเพียงอย่างเดียว สามารถเพิ่มโอกาสเป็นโรคมะเร็งได้ถึง 30% เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ 62% และน่าตกใจที่สุดคือ เพิ่มโอกาสเสียชีวิตก่อนวัยอันควรสูงถึง 50%

หมอเดียร์ ยังได้ชี้ให้เห็นถึงการจัดลำดับความสำคัญที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิด ลำดับที่ถูกต้องคือ 1. นอน 2. กิน และ 3. ออกกำลังกาย ท่านได้ยกตัวอย่างกลุ่มคนทำงานกะกลางคืน (Night Shift) ซึ่งเป็นกลุ่มที่สะท้อนปัญหานี้ชัดเจน โดยพบว่ามีอัตราการเกิดมะเร็งสูงกว่าคนทั่วไปถึง 3 เท่า และมีอัตราการตายสูงกว่าทุกอาชีพ

ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจัยสำคัญที่สุดอาจไม่ใช่แค่จำนวนชั่วโมง แต่คือ ความสม่ำเสมอ (Regularity) โดยมีการอ้างถึงคำแนะนำของ ดร.แมทธิว วอล์คเกอร์ นักวิทยาศาสตร์ด้านการนอนหลับจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่เสนอว่า เราควรมี นาฬิกานอนหรือการตั้งเวลาเพื่อเข้านอนให้เป็นกิจวัตร มากกว่าการมีเพียงนาฬิกาปลุก

นอกจากนี้ บนเวทียังมีการเปิดเผยเคล็ดลับอื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มคุณภาพการนอน ซึ่งรวมถึง การมีเพศสัมพันธ์ ที่ช่วยหลั่งสารออกซิโทซิน ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย และอีกเทคนิคคือ การตื่นให้ดี ตามคำแนะนำของ นุติหุนะสิงห(โจ้อี้) ที่เน้นการออกไปรับแสงแดดในยามเช้า เพื่อเป็นการตั้งค่านาฬิกาชีวิต (Circadian Rhythm) ของร่างกาย ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการนอนหลับในคืนนั้น

อาหารคือรหัส: ถอดโค้ดสติฟู้ดท่ามกลางวงจรอาหารแปรรูป

ประเด็นร้อนแรงที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถัดไปคือเรื่อง อาหาร ซึ่งบนเวทีนี้ถูกตีความในมิติที่ลึกซึ้งกว่าเพียงแค่การประทังชีวิต หมอเดียร์ ได้เปรียบเปรยไว้อย่างน่าสนใจว่า ร่างกายเปรียบเสมือน ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ในขณะที่อาหารคือ ซอฟต์แวร์ (Software) การเลือกกินอาหารธรรมชาติ (Whole Food) จึงเป็นการป้อน “โค้ด” หรือ “ชุดข้อมูล” (Message) ที่ถูกต้องให้กับร่างกาย

ในทางกลับกัน อาหารแปรรูปขั้นสูง (Ultra-Processed Food – UPF) ก็ไม่ต่างอะไรกับซอฟต์แวร์ที่เต็มไปด้วยข้อผิดพลาด หรือ “บั๊ก” (Bug)

ณัชพล กิตติชัยวงศ์ (เชฟทักษ์) นักวิทยาศาสตร์การอาหาร ประธานกรรมการบริหาร Soma Health
ณัชพล กิตติชัยวงศ์ (เชฟทักษ์) นักวิทยาศาสตร์การอาหาร ประธานกรรมการบริหาร Soma Health

ณัชพล กิตติชัยวงศ์ (เชฟทักษ์) นักวิทยาศาสตร์การอาหาร ประธานกรรมการบริหาร Soma Health ได้อธิบายขยายความว่า อาหารกลุ่มนี้ เช่น เค้ก หรือไส้กรอก มักผ่านกระบวนการสกัดจนสารอาหารที่มีประโยชน์ ทั้งวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร ถูกกำจัดออกไปจนเกือบหมด สิ่งที่เหลืออยู่คือสิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการในปริมาณมาก หรือที่เรียกว่า พลังงานว่างเปล่า อันได้แก่ แป้ง น้ำตาล และไขมัน

เชฟทักษ์ ยังชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่น่ากังวลว่า แม้เราจะบริโภค UPF ในสัดส่วนเพียง 10% ของแคลอรีต่อวัน หรือประมาณ 200 กิโลแคลอรี ก็เพียงพอที่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรง ทั้งเบาหวาน มะเร็ง และความดันโลหิตสูง ได้อย่างมีนัยสำคัญ

จากปัญหาดังกล่าว วู้ดดี้จึงได้บัญญัติศัพท์ใหม่ว่า สติฟู้ด (StiFood) ซึ่งเป็นการล้อคำมาจาก Street Food คำนี้ถูกนำเสนอเพื่อย้ำเตือนว่า ในการเลือกกินอาหารยุคปัจจุบัน เราจำเป็นต้องมีองค์ประกอบสำคัญสองส่วนควบคู่กัน ส่วนแรกคือ ความรู้ ที่จะแยกแยะว่าอะไรดีหรือไม่ดี และส่วนที่สองที่ขาดไม่ได้คือ สติ หรือความยับยั้งชั่งใจในการเลือก แนวคิดนี้สะท้อนความจริงที่ว่า ต่อให้มีความรู้ว่าอาหารชนิดใดไม่ดีต่อสุขภาพ แต่หากขาดสติในการควบคุมตนเอง สุดท้ายก็อาจพ่ายแพ้ต่อสิ่งเร้าทางการตลาด เช่น โปรโมชั่นไก่ทอดหรือพิซซ่าอยู่ดี

ภูมิปัญญาสยามไดเอททางเลือกสุขภาพสู้กับดักอาหารคลีนตะวันตก

นุติ หุนะสิงห (โจ้อี้) ได้ชี้ให้เห็นถึงหนึ่งในกับดักสำคัญที่ทำให้คนไทยมีสุขภาพแย่ คือทัศนคติที่ว่า “อาหารคลีน” (Clean Food) จำเป็นต้องมีราคาแพง ซึ่งเกิดจากการ “Copy Paste” วัฒนธรรมตะวันตก เขาย้ำประเด็น “Hyperlocalization” ว่าเรามักไปยึดติดกับวัตถุดิบอย่าง บรอกโคลี หรือ ควินัว ซึ่งล้วนเป็นวัตถุดิบนำเข้าที่มีราคาสูงในไทย แทนที่จะใช้ภูมิปัญญาที่มีอยู่

ทางออกที่ผู้เชี่ยวชาญบนเวทีเสวนาเห็นพ้องต้องกัน คือการหันกลับมาสู่ภูมิปัญญาไทยที่เรียกว่า “สยามไดเอท” (Siam Diet)ซึ่งได้รับการยืนยันว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพเทียบเท่ากับ “Mediterranean Diet” ที่มีชื่อเสียงระดับโลก แต่มีความเหมาะสมกับบริบทของคนไทยและมีราคาที่ย่อมเยากว่ามาก

หลักการของสยามไดเอทนั้นเรียบง่าย โดยใช้แบบจำลองจานอาหาร 9 นิ้ว เริ่มจาก ครึ่งหนึ่งของจาน ควรเป็นผัก โดยเน้นผักพื้นบ้าน ผักลวก หรือผักต้ม รับประทานคู่กับน้ำพริก ส่วนอีก 1 ใน 4 ของจาน เป็นโปรตีนไขมันต่ำ (Lean Protein) เช่น อกไก่ หรือปลาทู และ 1 ใน 4 สุดท้าย คือคาร์โบไฮเดรตไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง หรือข้าวไรซ์เบอร์รี่

นอกจากนี้ เชฟทักษ์ ยังได้เผยถึงภูมิปัญญาที่ซ่อนอยู่ในอาหารไทยอย่างน่าทึ่ง โดยยกตัวอย่าง “พริกแกงใต้” ที่มีการผสมผสานระหว่าง “ขมิ้น” ซึ่งมีสารสำคัญคือเคอร์คิวมิน และ “พริกไทยดำ” ที่มีสารพิพเพอรีน เขาอธิบายว่า สารในพริกไทยดำช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมสารต้านการอักเสบในขมิ้นได้สูงถึง 2,000% นี่คือสุดยอดอาหารที่ชาวตะวันตกต้องสกัดมาทำเป็นเครื่องดื่ม “ช็อต” เพื่อสุขภาพ แต่กลับเป็นสิ่งที่อยู่ในเมนูประจำวันของคนไทยอยู่แล้ว

เปิดโปงศัตรูแฝงในลำไส้และเครื่องดื่มสุขภาพ

เวทีเสวนายังได้เปิดเผยความจริงที่น่าตกใจ เกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่มที่มักถูกมองว่าเป็น “อาหารสุขภาพ” ซึ่งอาจกลายเป็น “กับดัก” ที่มองไม่เห็น

ประเด็นแรกคือเครื่องดื่ม “Zero” หรือสูตรน้ำตาล 0% ที่ถูกมองว่าเป็นกับดัก หมอเดียร์ ชี้ว่า สารให้ความหวานทดแทน เช่น แอสปาร์แตม หรือ ซูคราโรส อาจส่งผลเสียในระยะยาวที่ร้ายแรงกว่าน้ำตาลปกติ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถ “อ่านโค้ด” ของสารเหล่านี้ได้ ส่งผลให้เกิดการอักเสบ และทำลายจุลินทรีย์ดีในลำไส้ (Microbiome) ท่านยังอ้างอิงงานวิจัยที่ชี้ว่า ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มซีโร่เป็นประจำกลับมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นไม่ต่างจากผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลปกติ

ไม่เพียงแต่เครื่องดื่มซีโร่เท่านั้น น้ำผักผลไม้สกัดเย็น (Cold-Pressed Juice) ก็เป็นอีกหนึ่งความเข้าใจผิด แม้จะมีความสดใหม่ แต่กระบวนการ “แยกกาก” หรือใยอาหารออกไป ทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลล้วนๆ โดยไม่มีใยอาหารมาช่วยชะลอการดูดซึม ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูง (Spike) อย่างรวดเร็ว ไม่ต่างจากการดื่มน้ำหวานทั่วไป

จากประเด็นเรื่องน้ำตาลนี้ หมอเดียร์ ยังได้เปิดเผยถึง “ศัตรูแฝง” ที่อยู่ภายในร่างกายเราเอง โดยอธิบายว่า อาการโหยน้ำตาล (Sugar Craving) ที่หลายคนเป็น แท้จริงแล้วอาจไม่ได้มาจากสมอง แต่เรากำลังถูกบงการโดย “เชื้อรา” (Yeast/Fungus) ที่อาศัยอยู่ในลำไส้ เชื้อราเหล่านี้ส่งสัญญาณให้สมองไปหาน้ำตาลมาเป็นอาหารให้พวกมัน

วิธีจัดการคือต้อง “ฆ่ามัน” ซึ่งทำได้ด้วยการตัดน้ำตาล ตัดอาหารแปรรูป โดยเฉพาะขนมปัง และที่สำคัญคือการหยุดใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ เนื่องจากยาปฏิชีวนะคือตัวการทำลายแบคทีเรียดีที่คอยคุมเชื้อรา และเปิดทางให้พวกมันเติบโตอย่างรวดเร็ว

ความจริงที่น่าเครียด: สารพิษและแหล่งที่มาอาหาร

อีกหนึ่งประเด็นที่สร้างความกังวลอย่างมากในวงเสวนา คือปัญหาสารพิษ ที่ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงได้ยากในชีวิตประจำวัน เชฟทักษ์ ได้เตือนภัยถึง อะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งตับร้ายแรง ที่น่าตกใจคือมีการตรวจพบการปนเปื้อนในเครื่องปรุงอย่างถั่วลิสงป่น และพริกป่น ตามร้านก๋วยเตี๋ยวสูงถึง 90% โดยมีสาเหตุหลักมาจากความชื้นและการเก็บรักษาที่ไม่ดีพอ

ในขณะเดียวกัน วู้ดดี้ได้ชี้ให้เห็นถึงวิกฤติด้านแหล่งที่มาของอาหาร (Sourcing) ว่าผักหลายชนิดในตลาดไทยทุกวันนี้ ถูกนำเข้ามาจากประเทศจีน และอัดแน่นด้วยยาฆ่าแมลงเพื่อคงความสด ขณะที่ นุติ หุนะสิงห (โจ้อี้) เสริมว่า ปัญหาไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น แม้แต่ผักที่ปลูกแบบออร์แกนิกจากฟาร์ม ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะถูกฉีดยาฆ่าแมลง “ระหว่างทาง” ในระบบโลจิสติกส์ ก่อนถึงมือผู้บริโภค เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่อยากได้ผักที่ดูสวยงามไร้ที่ติ

จากปัญหาที่ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงได้ยากเหล่านี้ บทสรุปจากเวทีจึงไม่ใช่การให้ “สูตรสำเร็จ” ที่ตายตัว แต่เป็นการเรียกร้องให้ทุกคน “ช้าลง” และหันกลับมาใช้ “สติ” ในการใช้ชีวิต

หมอเดียร์ ย้ำว่าสติเป็นสิ่งจำเป็นในทุกมิติ ทั้งการนอน การกิน และการออกกำลังกายที่ไม่หักโหมจนร่างกายพัง

ด้าน เชฟทักษ์ ได้ให้คำแนะนำเชิงปฏิบัติว่า ให้ใช้วิธี “กินหมุนเวียน” อาหารที่ดี เพื่อเป็นการ “หมุนเวียนสารพิษ” ไม่ให้สะสมอยู่ในร่างกายมากเกินไป

ฝั่งโจ้อี้ เน้นย้ำเรื่อง Mindset ว่าอยากให้ทุกคน “เปลี่ยน Mindset” และ “ตั้งคำถามว่า ทำไม” กับทุกสิ่งตลอดเวลา เพราะนั่นคืออาวุธที่จะทำให้เราพบคำตอบที่แท้จริงของสุขภาพ

ขณะที่ วู้ดดี้ได้ทิ้งท้ายชวนให้ฉุกคิดด้วยการเปรียบเปรยว่า ให้รักตัวเองเหมือนเพื่อนรัก และตั้งคำถามกับตัวเองในทุกการกระทำว่า สิ่งที่เรากำลังป้อนให้ร่างกายนั้น… เป็นการ “รักเพื่อน” หรือกำลัง “ฆ่าเพื่อน” กันแน่

เวทีเสวนา Longevity ที่ Bitkub Summit ได้ชี้ให้เห็นว่า โลกยุคใหม่เต็มไปด้วยกับดักทางสุขภาพที่มองไม่เห็น เนื้อหาท้าทายให้ผู้ฟังต้องทบทวนความเชื่อเดิม ๆ ตั้งแต่การจัดลำดับความสำคัญให้ “การนอน” มาเป็นอันดับหนึ่งเหนือสิ่งอื่นใด การปฏิเสธอาหารแปรรูปขั้นสูงซึ่งเปรียบเหมือน “โค้ดที่ผิดพลาด” ของร่างกาย และหันกลับมาหาภูมิปัญญาดั้งเดิมที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังอย่าง “สยามไดเอท” พร้อมกันนี้ ยังเป็นการเปิดโปง “ศัตรูแฝง” ที่มีอยู่ทุกที่ ตั้งแต่สารพิษในเครื่องปรุง สารให้ความหวานในเครื่องดื่ม “สุขภาพ” ไปจนถึงเชื้อราในลำไส้ที่คอยบงการเรา บทสรุปสุดท้ายจึงไม่ใช่การนำเสนอทางลัดที่ซับซ้อน แต่คือการเรียกร้องให้ทุกคนกลับสู่พื้นฐาน และใช้อาวุธที่สำคัญที่สุดคือ “สติ” ควบคู่ไปกับความรู้ เพื่อนำทางชีวิตให้มีสุขภาพที่ยืนยาวอย่างแท้จริง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘ขาดทุนคือกำไร’ คืออะไร? ปรัชญา ‘ประโยชน์สุข’ ที่นักพัฒนารุ่นใหม่ต้องเข้าใจ

Bitkub จับมือ BONK ขยายการเข้าถึงโทเคนชุมชนชั้นนำของ Solana สู่ประเทศไทย

ถอดรหัส ‘ประโยชน์สุข’ SCG: โมเดลปลดล็อก 7 ผู้นำชุมชน พลิกวิกฤติสู่ความยั่งยืน

×

Share

ผู้เขียน