สำหรับพนักงานกว่า 4,000 ชีวิตของ Agoda (อโกด้า) ในกรุงเทพมหานคร เดือนเมษายน ปี 2569 (2026) จะไม่ใช่แค่การเริ่มต้นฤดูร้อนหรือเทศกาลสงกรานต์ตามปกติ แต่มันคือหมุดหมายของ “ดีเดย์” แห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษ
เมื่อแพลตฟอร์มการเดินทางดิจิทัลระดับโลกรายนี้ ตัดสินใจเก็บกระเป๋าออกจากบ้านหลังเดิม เพื่อย้ายเข้าสู่ “อาคาร วัน แบงค็อก” (One Bangkok Tower 5) อภิมหาโปรเจกต์ใจกลางเมือง ด้วยพื้นที่เช่ามหาศาลกว่า 26,000 ตารางเมตร ครอบคลุมพื้นที่ถึง 7 ชั้น การขยับตัวครั้งนี้ส่งสัญญาณที่ดังและชัดเจนกว่าคำแถลงการณ์ใดๆ ว่าแม้ออฟฟิศกฎหมายจะอยู่ที่สิงคโปร์ แต่ “ลมหายใจ” และ “มันสมอง” ของ Agoda นั้น อยู่ที่กรุงเทพมหานคร ในฐานะบ้านหลังใหญ่ที่สุดในโลก (Largest Office in the World)
เรื่องราวเบื้องหลังการเดิมพันครั้งประวัติศาสตร์นี้ ได้รับการเปิดเผยโดยแม่ทัพใหญ่ ออมรี มอร์เกนสเติร์น (Omri Morgenstern) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Agoda ระหว่าง การสัมภาษณ์กลุ่ม (Group Interview) กับสื่อมวลชนในวันนี้ (3 ธันวาคม) โดยเขาย้ำชัดว่าการย้ายบ้านครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของอสังหาริมทรัพย์ แต่มันคือพิมพ์เขียวของการสร้าง “Silicon Valley in Bangkok” ให้เกิดขึ้นจริงบนแผ่นดินไทย
นิยาม Silicon Valley ฉบับออมรี: “คือการลงทุนในคน” อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อพูดถึงคำว่า Silicon Valley หลายคนอาจนึกถึงภาพตึกระฟ้า เทคโนโลยีล้ำยุค หรือมูลค่าบริษัทระดับยูนิคอร์น แต่สำหรับคุณออมรี เขากล่าวว่า
“Silicon Valley in Bangkok means you teach.” (ซิลิคอนวัลเลย์ในกรุงเทพฯ หมายถึงคุณต้องสอน) คุณออมรีนิยามสั้น ๆ แต่กินใจความมหาศาล
เขาขยายความว่า การจะสร้าง Tech Hub ให้สำเร็จ ไม่ใช่แค่การจ้างคนเก่งมาทำงาน แต่คือการ “ลงทุนในมนุษย์” (Invest in Talent) Agoda จึงทุ่มสรรพกำลังไปกับการปูพรมสร้างทักษะผ่านโครงการต่าง ๆ ตลอดปีที่ผ่านมา ทั้งการส่งทีมงานไปเปิดคอร์สสอนในมหาวิทยาลัย การทำโปรเจกต์ร่วมกับนักศึกษาฝึกงาน (Intern Projects) และการจัด Agoda Tech Camp เพื่อบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ใหม่ ๆ ให้วงการ
คุณออมรีเล่าอย่างตรงไปตรงมาว่า “เด็กฝึกงานส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ทำงานต่อกับเรา มีน้อยมากที่อยู่ต่อ แต่เราก็ยังดึงเขาเข้ามา และเปิดโอกาสให้เขาได้สัมผัสโลกการทำงานจริงทุกอย่าง”
ทำไมถึงยอมลงทุนทั้งที่รู้ว่าเขาอาจจะไป? คำตอบของคุณออมรีสะท้อนความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ระดับชาติ “มันคุ้มค่าสำหรับ Agoda และมันคุ้มค่าสำหรับประเทศไทย เพราะเมื่อคนเหล่านี้เก่งขึ้นแล้วออกไปทำงานที่อื่น พวกเขาก็จะไปช่วยทำให้ประเทศไทยกลายเป็น Tech Hub ที่แข็งแกร่งขึ้นในภาพรวม”
นี่ไม่ใช่แค่กิจกรรม CSR ชั่วครั้งชั่วคราว แต่เป็นพันธกิจที่คุณออมรีประกาศว่าเขา “มีความกระหายที่ไม่มีที่สิ้นสุด” (Infinite appetite) ที่จะทำมันต่อไป
“เพราะสิ่งหนึ่งที่คุณลงทุนแล้วไม่มีวันขาดทุน คือการลงทุนใน Talent และที่ประเทศไทย เรามีคนเก่ง ๆ ทั้งประเทศให้เราลงทุน” คุณออมรีกล่าวทิ้งท้ายด้วยแววตาที่เชื่อมั่น
สถาปัตยกรรมที่บังคับให้ ‘เชื่อมต่อ’ (Collaboration): ทลายกำแพงด้วยบันไดและกาแฟ

เพื่อรองรับคนเก่งเหล่านี้ ออฟฟิศที่ One Bangkok จึงถูกออกแบบมาด้วยโจทย์ที่ท้าทายที่สุดข้อหนึ่งคือ “ทำอย่างไรให้คนเลิกต่างคนต่างอยู่?”
คุณออมรีเล่าถึง Pain Point ของออฟฟิศรูปแบบเดิมที่เขากำลังเผชิญอยู่ว่า “ในออฟฟิศปัจจุบัน ถ้าคุณอยากจะไปหาใครสักคน คุณต้องเดินไปรอลิฟต์เพื่อขึ้นไปหาเขา หรือถ้าอยากจะนัดคุยงานแบบไม่เป็นทางการ คุณก็ต้องชวนกันออกไปหาร้านอาหารข้างนอก” สิ่งเหล่านี้คือ ‘กำแพงที่มองไม่เห็น’ ที่ทำให้พนักงานแต่ละแผนกห่างเหินกัน
ที่บ้านหลังใหม่ Agoda จึงเลือกที่จะทุบกำแพงเหล่านั้นทิ้งด้วยการออกแบบพื้นที่ให้ “เชื่อมต่อด้วยบันไดทั้งหมด” (All with stairs) เพื่อให้การเดินไปหากันระหว่างชั้นเป็นเรื่องง่ายและเป็นธรรมชาติที่สุด
แต่ไฮไลต์ที่สำคัญที่สุดคือพื้นที่หัวใจกลางที่เรียกว่า “Cafe Bridge”
“เป้าหมายของ Agoda คือการเป็นสะพานเชื่อมโลก (Bridge the world) ดังนั้นเราจึงสร้าง Cafe Bridge ไว้ตรงกลางเพื่อทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมคนของเราเข้าด้วยกันก่อน” คุณออมรีอธิบาย
พื้นที่นี้ไม่ใช่แค่โรงอาหาร แต่ถูกออกแบบมาให้เป็นจุดนัดพบที่พนักงานทุกคน “ต้องเดินมาเจอกัน” สามารถมานั่งคุยแลกเปลี่ยนไอเดียกันได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องออกไปข้างนอก “เมื่อผมมองดูพื้นที่ Collaboration Space เหล่านี้ มันทำให้ผมภูมิใจมาก เพราะมันคือเครื่องมือที่จะกระตุ้น (Trigger) ให้คนทำงานร่วมกันและเชื่อมต่อกันจริง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับความสำเร็จ โดยเฉพาะหลังจากที่เราห่างเหินกันไปในช่วง Work from home”
ความลับของนวัตกรรม: พลัง Bottom-Up และ AI ที่ไม่ยึดติดค่าย
หากเฟอร์นิเจอร์คือร่างกาย วัฒนธรรมองค์กรก็คือจิตวิญญาณ Agoda ขับเคลื่อนด้วยปรัชญาการบริหารแบบลูกผสม ที่ผู้บริหารกล้าชี้ทิศทาง (Top-Down) แต่ให้อำนาจคนหน้างานเป็นผู้ลงมือสร้าง (Bottom-Up)
ออมรีเชื่อว่าในองค์กรขนาดใหญ่ ซีอีโอไม่สามารถรู้ทุกเรื่อง นวัตกรรมที่ดีที่สุดจึงมักเกิดจากคนหน้างาน เขาจึงสร้างวัฒนธรรมที่ “ให้อำนาจ (Empower), ให้เครื่องมือ, และให้งบประมาณ” แก่พนักงานทุกคนในการเสนอไอเดีย ผลลัพธ์คือปัจจุบัน Agoda มีโปรเจกต์ AI ภายในองค์กรมากกว่า 200 กรณี (Use Cases) ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเองโดยพนักงาน ไม่ว่าจะเป็น:
- Code Reviews: วิศวกรสร้าง AI ช่วยตรวจสอบโค้ดที่เตือนเพื่อนร่วมงานได้ทันทีว่า “ตรงนี้มีข้อผิดพลาดนะ ลูกค้าจะได้รับผลกระทบ” ช่วยลดบั๊กและเร่งความเร็วในการพัฒนาโปรดักต์
- Legal Bot: ทีมกฎหมายสร้างบอทตอบคำถามสัญญาเบื้องต้น ช่วยลดคอขวดในการรอคำปรึกษาจากทนายความ ทำให้ธุรกิจเดินหน้าได้ไวขึ้น

ความสำเร็จนี้การันตีด้วยรางวัลจาก OpenAI ในฐานะองค์กรที่ประมวลผลข้อมูลทะลุหลัก “1 ล้านล้านโทเคน” (1 Trillion Tokens) ซึ่งเป็นสเกลระดับโลกที่มีเพียงประมาณ 50-100 บริษัททั่วโลกที่ทำได้ และ Agoda น่าจะเป็นบริษัทเดียวในไทยที่ได้รับรางวัลนี้
แต่ความน่าสนใจไม่ได้หยุดแค่นั้น Agoda แสดงให้เห็นถึงความเหนือชั้นด้วยการ “ไม่ยึดติดค่าย” (Model Agnostic) คุณออมรีระบุชัดเจนว่า “เราไม่ได้ใช้แค่ ChatGPT หรือ OpenAI แต่เราใช้ทั้ง Gemini (Google), Anthropic (Claude) และโมเดลอื่นๆ ด้วย” เป็นการเลือกใช้ “สมอง” ที่ดีที่สุดและคุ้มค่าที่สุดสำหรับแต่ละงาน (Best tool for the job) ซึ่งสะท้อนความเชี่ยวชาญระดับสูงของทีม Tech ในไทยที่ไม่ผูกมัดตัวเองกับเทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่ง
จากคนจองที่พัก สู่ “เพื่อนคู่คิด” (Personal Travel Assistant): อนาคตของการเดินทางที่ AI ดูแลคุณ
ก้าวต่อไปในปี 2026 ซึ่งถือเป็นวิสัยทัศน์ผลิตภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุด (Top-down initiative) ของ Agoda คือการเปลี่ยนบทบาทจาก “แพลตฟอร์มจองที่พัก” สู่การเป็น “Personal Travel Assistant (PTA)” หรือผู้ช่วยส่วนตัวในการเดินทางอย่างเต็มรูปแบบ
ออมรีวาดภาพอนาคตว่า Agoda จะไม่ได้ทำหน้าที่แค่ให้คุณค้นหาและกดจองแล้วจบกันไป แต่จะเข้ามาเปลี่ยนวิธีการโต้ตอบกับผู้ใช้งาน (User Interaction) ใหม่ทั้งหมดเสมือนมีเลขาส่วนตัวที่รู้ใจ โดยมีแกนหลัก 3 ประการ คือ
- จาก “การจอง” สู่ “การวางแผน” (From Booking to Planning): ในอดีต Agoda อาจไม่ได้ช่วยคุณวางแผนมากนัก แต่ PTA จะเข้ามาตอบโจทย์นี้ คุณสามารถถามคำถามปลายเปิดอย่าง “ฉันควรไปเที่ยวที่ไหนดี?” หรือ “ที่พักนี้เหมาะกับครอบครัวไหม?” AI จะประมวลผลและให้คำตอบที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคุณ (Personalized) โดยเรียนรู้จากสิ่งที่คุณชอบและไม่ชอบในอดีต
- Connected Trip (ทริปที่เชื่อมโยงถึงกัน): ผู้ช่วยส่วนตัวที่ดีต้องดูแลได้ทั้งทริป Agoda จึงมุ่งมั่นเชื่อมโยงทุกบริการไว้ในที่เดียว ทั้งที่พัก (Accommodation), ตั๋วเครื่องบิน (Flight), และกิจกรรมท่องเที่ยว (Attractions) เพื่อให้การจัดการทริปเป็นเรื่องง่ายและไร้รอยต่อ
- การดูแลเชิงรุก (Proactive Support): ไฮไลต์ที่เปลี่ยนเกม สิ่งที่ทำให้ PTA แตกต่างอย่างแท้จริงคือการดูแลเมื่อเกิดปัญหาหน้างานโดยที่คุณไม่ต้องร้องขอ
- Weather Alert: “สมมติว่าคุณกำลังเที่ยวอยู่แล้วฝนตก AI ของเราอาจจะเด้งเตือนและแนะนำให้คุณเปลี่ยนแผนไปทำกิจกรรมในร่มแทน”
- Friction-less Solution: หากคุณเจอปัญหาการชำระเงิน ระบบจะกระโดดเข้ามาถามทันทีว่า “คุณติดขัดตรงนี้ใช่ไหม? ลองใช้วิธีนี้ดูสิ” เปรียบเสมือนมีพนักงานคอยยืนช่วยเหลืออยู่ข้างๆ ตลอดเวลา
“เราไม่ได้จะเปิดตัวแบบตูมเดียวจบ (Not a boom) เพราะนั่นไม่ใช่วิธีสร้างโปรดักต์ที่ดี” คุณออมรีเน้นย้ำถึงแนวคิดการพัฒนา “เราจะค่อยๆ ปล่อยฟีเจอร์ออกมาทีละส่วน (Iterate) เรียนรู้จากผู้ใช้ และทำให้มันฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งคุณจะได้เห็นนวัตกรรมเหล่านี้ชัดเจนขึ้นตลอดปี 2026”
ถอดรหัสคนไทย: รักสบาย เน้นคุ้มค่า และกล้าใช้ AI
ท่ามกลางสมรภูมิการแข่งขัน รายงาน Agoda 2026 Travel Outlook ได้เผยอินไซต์ที่น่าสนใจว่า “ราคา” คือปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางการท่องเที่ยวในยุคนี้ ส่งผลให้ชนชั้นกลางในเอเชียและไทยเริ่มหันไปมอง “เมืองรองในต่างประเทศ” มากขึ้น เพราะค่าตั๋วเครื่องบินที่ถูกลงจนสูสีกับเที่ยวในประเทศ
สำหรับพฤติกรรมคนไทยนั้นมีความ “Unique” อย่างชัดเจน:
- แชมป์รักสบาย: คนไทยครองอันดับ 1 ในเอเชียที่เที่ยวเพื่อ “การพักผ่อน” (73%)
- Experience Hunter: ไม่เน้นชมเมือง แต่เน้นประสบการณ์ โดยเฉพาะ “สวนสนุก” (Theme Parks) คือแม่เหล็กดึงดูดชั้นดี
- Smart & Budget: 44% ของคนไทยตั้งงบค่าที่พักไม่เกิน 1,600 บาทต่อคืน และมีความพร้อมใช้ AI วางแผนเที่ยวสูงถึง 69% ซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย
ในฝั่งของ นักท่องเที่ยวจีน คุณออมรีมองว่าตลาดนี้ยังมีโอกาสเติบโต (Upside) อีกมาก และจะกลับมาแน่นอน แต่จุดแข็งของไทยในปัจจุบันคือ การกระจายความเสี่ยง (Diversification) ที่ดีเยี่ยม โดยไม่พึ่งพานักท่องเที่ยวชาติใดชาติหนึ่งเกินไป (Top 3 ตลาดรวมกันมีสัดส่วนเพียง 35%) ทำให้ไทยมีความยืดหยุ่นสูงต่อสถานการณ์โลก
น่านน้ำใหม่: บุกโลกออฟไลน์ (B2B) และเดิมพัน FinTech
เพื่อการเติบโตแบบก้าวกระโดด Agoda กำลังเบนเข็มเรือรบเข้าสู่น่านน้ำใหม่ที่คู่แข่งอาจมองข้าม นั่นคือตลาด B2B (Business-to-Business) ซึ่งคุณออมรีระบุว่าเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่มหาศาลและเต็มไปด้วยโอกาส
ทำไม Agoda ถึงต้องมาทำ B2B? คำตอบคือ “เพื่อเข้าถึงลูกค้าที่แพลตฟอร์มปัจจุบันเอื้อมไม่ถึง” (Unreachable Audiences) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่:
- กลุ่ม Offline Market (โลกออฟไลน์): ยังมีนักเดินทางจำนวนมากที่ไม่ได้จองผ่านแอปฯ หรือเว็บ แต่เลือกที่จะโทรหาเอเย่นต์ หรือเดินไปจองที่หน้าร้าน (Travel Agents) ด้วยความคุ้นเคย Agoda ไม่สามารถให้บริการคนกลุ่มนี้ได้โดยตรง จึงต้องใช้กลยุทธ์ B2B เข้าไปเป็นพันธมิตรกับเอเย่นต์เหล่านี้ เพื่อเป็น ‘ซัพพลายเออร์’ อยู่เบื้องหลัง
- กลุ่ม Loyalty Points Economy: นี่คือเค้กก้อนยักษ์ของคนที่มีคะแนนสะสมจาก “ธนาคาร, บัตรเครดิต หรือสายการบิน” และต้องการใช้คะแนนเหล่านั้นแลกการเดินทาง ปัญหาคือคนกลุ่มนี้จะซื้อสินค้าบนแพลตฟอร์มของธนาคารเพื่อเบิร์นพอยต์ ไม่ใช่บน Agoda
The Solution: Agoda จึงต้องเข้าไปเชื่อมต่อระบบ (Integration) เพื่อเป็น ‘ท่อส่ง’ (Backend) ในการจัดหาที่พักและตั๋วเครื่องบินให้แพลตฟอร์มของพาร์ตเนอร์เหล่านั้น
กลยุทธ์นี้คือการ Win-Win เพราะ Agoda ไม่ได้แค่เข้าไปขายของ แต่ต้องการนำ “ขีดความสามารถทางเทคโนโลยีจากฝั่ง B2C” ที่ Agoda เชี่ยวชาญ ไปถ่ายทอดให้พาร์ตเนอร์ B2B เพื่อช่วยให้ธุรกิจของพาร์ทเนอร์เติบโตไปพร้อมกัน ซึ่งนี่เป็นพื้นที่ที่ Agoda จะลงทุนเพิ่มขึ้นอีกมาก
และที่น่าจับตามองที่สุด คือวิสัยทัศน์ของคุณออมรี ที่นิยามตัวเองว่าเป็น “FinTech Geek” เขามองเห็นโอกาสในความยุ่งยากทางการเงิน (Friction) ที่นักเดินทางต้องเจอ ไม่ว่าจะเป็น:
- ความต้องการสินเชื่อ: การท่องเที่ยวเป็นรายจ่ายก้อนโต บางครั้งลูกค้าต้องการตัวช่วยแบ่งเบาภาระ
- ปัญหาข้ามพรมแดน: การต้องแลกเงินไปต่างประเทศมักเจอกับอัตราแลกเปลี่ยนที่แพง หรือความไม่สะดวกในการพกเงินสด
“เราจะทำ FinTech แน่นอน แต่เราจะทำเมื่อเราพร้อม และทำอย่างถูกต้อง (Do it right) เท่านั้น” คุณออมรีเน้นย้ำถึงความระมัดระวัง เพราะ FinTech คือธุรกิจที่มีกฎระเบียบเข้มงวด (Regulated) โดยเฉพาะการทำธุรกรรมข้ามประเทศที่ต้องประสานกับรัฐบาลหลายแห่ง ดังนั้น Agoda จึงเลือกที่จะซุ่มพัฒนาอย่างเงียบๆ และจะเปิดตัวเมื่อมั่นใจว่าระบบสมบูรณ์แบบที่สุด
เทคโนโลยีที่มี ‘หัวใจ’: การรับมือวิกฤติที่ว่องไว
ความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีของ Agoda ไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ แต่ยังมีไว้เพื่อโอบอุ้มผู้คนในยามวิกฤติ กรณีศึกษาล่าสุดจากเหตุการณ์อุทกภัยที่หาดใหญ่สะท้อนให้เห็นถึง ‘หัวใจ’ ขององค์กรที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ด้วยความว่องไว (Agility) สูงสุด ทันทีที่เกิดเหตุ Agoda ไม่รีรอที่จะคืนเงินให้กับนักเดินทางที่ไม่สามารถเดินทางได้ พร้อมกับระดมทีมงานติดต่อพาร์ทเนอร์โรงแรมเพื่อยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
นอกจากนี้ บริษัทยังได้บริจาคเงิน 1.6 ล้านบาทผ่านองค์กร Save the Children และเปิดระบบสมทบทุนเงินบริจาคของพนักงาน (Matching Fund) เพื่อเร่งฟื้นฟูโรงเรียนให้เด็ก ๆ ได้กลับมาเรียนโดยเร็วที่สุด ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า Agoda ไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มจองที่พัก แต่เป็นองค์กรที่มีความยืดหยุ่น (Resilience) และพร้อมเคียงข้างสังคมไทยเสมอ
เดิมพันอนาคตกับ ‘ประเทศไทย’
ท่ามกลางความท้าทายของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ “ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ” ทั้งความปลอดภัยและภูมิรัฐศาสตร์ Agoda เลือกที่จะมองโลกในแง่ดีและวางเดิมพันครั้งสำคัญกับ “ประเทศไทย”
การย้ายบ้านสู่ วัน แบงค็อก ทาวเวอร์ 5 ในเดือนเมษายน 2569 จึงเป็นมากกว่าข่าวอสังหาริมทรัพย์ แต่มันคือคำประกาศศักดาว่า กรุงเทพมหานคร พร้อมแล้วที่จะถูกยกระดับขึ้นเป็น “Statue of Silicon Valley” ด้วยมันสมองของคนไทย เทคโนโลยีระดับโลก และวิสัยทัศน์ที่กล้าจะเปลี่ยนโลกการเดินทางไปตลอดกาล
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ทรู ดิจิทัล ส่ง ‘Digital Intelligence Fabric’ 8 โซลูชัน ลัดสู่ยุค AI
‘Quick Win’ ครีเอเตอร์: พลิกโฉมอาชีพสื่อสู่ทางรอดเศรษฐกิจไทย




