ยุคแห่งพลังงานหมุนเวียนที่เฟื่องฟูกำลังสร้างความท้าทายใหม่ให้กับความมั่นคงทางพลังงาน เมื่อ “แดดหมด” หรือ “ลมหยุด” ไฟฟ้าก็สะดุด แต่ความท้าทายนี้กำลังจะถูกปลดล็อกด้วย “ระบบกักเก็บพลังงาน” หรือ BESS (Battery Energy Storage System) ซึ่งกำลังจะกลายเป็นธุรกิจดาวรุ่งที่ทรงอิทธิพลที่สุดในทศวรรษหน้า
ข้อมูลเชิงลึกจาก Krungthai Compass ชี้ให้เห็นว่า ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตกำลังไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP 2024) ฉบับใหม่ ได้ปักหมุดอนาคตของ BESS ไว้อย่างชัดเจน โดยภาครัฐมีแผนจัดสรรโควต้ากำลังการผลิตไฟฟ้าให้ BESS สูงถึง 10,485 เมกะวัตต์ เพื่อรับมือความผันผวนของพลังงานหมุนเวียน และสร้างเสถียรภาพให้ระบบไฟฟ้าของประเทศ โดยคาดว่าจะเริ่มทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ (COD) ในช่วงปี 2575-2578 นี่คือสัญญาณ “จุดพลุ” ที่กำลังจะก่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนสะพัดในระบบเศรษฐกิจอย่างน้อย 2.91 แสนล้านบาท ในช่วงปี 2574-2578
“BESS” หัวใจใหม่ของพลังงานสะอาด
ในวันที่ประเทศไทยประกาศนโยบายเร่งด่วนสู่ Net Zero Emission การพึ่งพาพลังงานแสงอาทิตย์และลมกลายเป็นทางเลือกหลัก แต่ปัญหาคลาสสิกคือความไม่แน่นอนของธรรมชาติ BESS จึงถูกนำเข้ามาเป็น “พระเอก” ทำหน้าที่เป็น “พาวเวอร์แบงก์” ขนาดยักษ์ กักเก็บพลังงานส่วนเกินในวันที่ผลิตได้มาก และจ่ายคืนเข้าระบบในยามที่ต้องการ
แผน PDP 2024 ไม่ได้มอง BESS เป็นแค่ส่วนประกอบ แต่คือ “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่จำเป็นสำหรับอนาคต
วิเคราะห์โมเดลการลงทุน BESS: ภาครัฐดำเนินการเอง หรือ เปิดให้เอกชนเช่า?
ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ งบประมาณการลงทุนมูลค่า 2.91 แสนล้านบาทนี้ จะถูกจัดสรรและดำเนินการในรูปแบบใด? บทวิเคราะห์จาก Krungthai Compass ได้นำเสนอและเปรียบเทียบ 2 รูปแบบการลงทุนหลักที่น่าสนใจ ดังนี้
รูปแบบภาครัฐลงทุนและดำเนินการเอง (Public Sector Direct Investment) ในรูปแบบนี้ ภาครัฐจะเป็นผู้ลงทุนและบริหารจัดการระบบ BESS ทั้งหมดด้วยตนเอง
ข้อดี: จุดเด่นที่ชัดเจนที่สุดคือ ภาครัฐจะมีอำนาจควบคุมการสั่งการระบบ BESS ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบไฟฟ้าโดยรวม นอกจากนี้ เมื่อประเมินต้นทุนรวมตลอดอายุโครงการ 15 ปี ยังพบว่าอาจเป็นทางเลือกที่ใช้ต้นทุนโดยรวม “ต่ำกว่า” การจ้างเอกชน
ข้อจำกัด: ความท้าทายหลักคือ ภาครัฐจำเป็นต้องจัดสรรงบประมาณจำนวนมหาศาลในระยะเริ่มต้น (Upfront Cost) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุน และต้องเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางจำนวนมาก เพื่อรับผิดชอบการบำรุงรักษาระบบในระยะยาว
รูปแบบเอกชนลงทุนในระบบสัญญาเช่า (Tolling System) รูปแบบนี้คือการที่ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนระบบ BESS และให้บริการแก่ภาครัฐในลักษณะของสัญญาเช่า
ข้อดี: บทวิเคราะห์ชี้ว่า นี่อาจเป็นรูปแบบที่ “เหมาะสมที่สุด” หากภาครัฐต้องการให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุน เนื่องจากภาครัฐสามารถ “ลดภาระการลงทุนก้อนแรก” ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยภาคเอกชนจะเป็นผู้รับผิดชอบการลงทุนและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาทั้งหมด
จุดเด่นสำคัญ: แม้เอกชนจะเป็นผู้ลงทุน แต่ภายใต้โมเดลนี้ ภาครัฐจะยังคง “สงวนสิทธิ์” ในการบริหารจัดการและสั่งการอัดประจุและจ่ายกระแสไฟทั้งหมด ทำให้เป้าหมายด้านความมั่นคงของระบบไฟฟ้าไม่ลดทอนลง
ผลตอบแทนฝั่งเอกชน: ในมุมของนักลงทุน ภาคเอกชนที่เข้าร่วมในโมเดลสัญญาเช่า คาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนจากการดำเนินงาน (IRR) เฉลี่ยปีละ 6.7% ตลอดอายุสัญญา 15 ปี โดยมีระยะเวลาคืนทุน (Payback Period) อยู่ที่ประมาณ 9.2 ปี ซึ่งถือเป็นการลงทุนระยะยาวที่มีความมั่นคงและน่าดึงดูดอย่างยิ่ง
ใครคือผู้รับประโยชน์ตัวจริง? ส่อง “เค้ก” 2.62 แสนล้านในห่วงโซ่อุปทาน
การลงทุนใน BESS ไม่ได้จบแค่ที่ผู้ประกอบการพลังงาน แต่กำลังสร้าง “คลื่น” (Ripple Effect) กระจายผลประโยชน์ไปทั่วห่วงโซ่อุปทาน โดยคาดว่าจะสร้างรายได้ให้ธุรกิจเกี่ยวเนื่องในไทยสูงถึง 2.62 แสนล้านบาท และนี่คือ 5 กลุ่มธุรกิจที่จะได้ “เค้กก้อนโต” ไปครอง
- กลุ่มผลิตและจัดจำหน่ายแบตเตอรี่ (1.36 แสนล้านบาท): นี่คือผู้ชนะที่แท้จริง รับประโยชน์ไปเต็มๆ กว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด โดยเฉพาะตัวแทนจำหน่ายแบตเตอรี่แบรนด์ชั้นนำระดับโลก (เช่น CATL, BYD, Huawei) ที่มีประสิทธิภาพสูง
- กลุ่มระบบไฟฟ้า (4.34 หมื่นล้านบาท): ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์สำคัญ เช่น หม้อแปลงไฟฟ้า, Inverter และอุปกรณ์ควบคุมไฟฟ้า ที่ได้มาตรฐานสากล
- กลุ่มระบบดับเพลิงและปรับอากาศ (3.65 หมื่นล้านบาท): ระบบ BESS ต้องการการควบคุมความปลอดภัยและอุณหภูมิที่เข้มงวด ธุรกิจนี้จึงเติบโตตามไปด้วย
- กลุ่มตู้คอนเทนเนอร์เก็บแบตเตอรี่ (2.55 หมื่นล้านบาท): ผู้ผลิตและติดตั้งตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐานสูงสำหรับสถานีไฟฟ้า
- กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (1.99 หมื่นล้านบาท): ผู้รับเหมาที่มีประสบการณ์ก่อสร้างโรงไฟฟ้าและสถานีไฟฟ้า สำหรับงานฐานรากและอาคารติดตั้ง
ข้อเสนอแนะ: 3 แนวทาง “เร่งเครื่อง” ดึงดูดการลงทุน
เพื่อให้ไทยกลายเป็นฮับ BESS และดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้จริง ภาครัฐควรพิจารณามาตรการ “บูสเตอร์” ดังนี้
- ให้เครดิตภาษี (Tax Credit): สำหรับผู้ประกอบการที่ใช้ระบบ BESS ที่มีส่วนประกอบผลิตในประเทศ เพื่อจูงใจให้ผู้ผลิตแบตเตอรี่ยักษ์ใหญ่ของโลกมาตั้งฐานการผลิตในไทย
- ประกันราคารับซื้อ (Cap & Floor): สร้างความมั่นใจให้นักลงทุนในระยะยาว โดยการประกันราคารับซื้อไฟฟ้าขั้นต่ำ และจำกัดเพดานสูงสุดเพื่อควบคุมค่าไฟ
- เปิดตลาดพลังงานไฟฟ้า (Energy Market): พิจารณาเปิดตลาดซื้อขายพลังงานล่วงหน้า (Future Market) เพื่อให้ผู้ให้บริการ BESS มีทางเลือกในการสร้างรายได้ที่หลากหลายขึ้น
โดยสรุป ร่างแผน PDP 2024 ครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการปรับแผนพลังงาน แต่คือการ “สร้างตลาดใหม่” ที่มีมูลค่ามหาศาล BESS คือจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่จะทำให้พลังงานสะอาดเกิดขึ้นได้จริง และยังเป็นโอกาสทางธุรกิจครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของทศวรรษสำหรับนักลงทุนไทยที่มองเห็นอนาคต
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
บ้านปู ‘Symphonics เฟส 2’ พลิกโฉมรับ AI บูม ชู BKV-Power Plus หัวหอกใหม่
DHL ทุ่ม 1.39 พันล้านบาท เปิดตัว ‘คลังสินค้าพลังงานหมุนเวียน 100%’




