Share on
×

Share

ผ่าทางตัน ‘ครัวของโลก’ พลิกโฉมด้วย AI และนวัตกรรม

ผ่าทางตัน 'ครัวของโลก' พลิกโฉมด้วย AI และนวัตกรรม

ภายใต้ฉายา “ครัวของโลก (Kitchen of the World)” ที่ประเทศไทยภาคภูมิใจ กลับซ่อนความเปราะบางทางโครงสร้างที่น่ากังวล เมื่อตัวเลขทางเศรษฐกิจและขีดความสามารถในการแข่งขันเริ่มส่งสัญญาณเตือนว่า เรากำลังติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) และถูกประเทศเพื่อนบ้านไล่กวดอย่างกระชั้นชิด คำถามสำคัญในวันนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่ว่าอาหารไทยอร่อยแค่ไหน แต่คือคำถามที่ท้าทายยิ่งกว่าว่า “ทำไมอาหารไทยถึงยังไปไม่สุด” ทั้งที่เรามีต้นทุนวัตถุดิบและวัฒนธรรมที่เหนือกว่าใคร

บนเวทีเสวนาหัวข้อ “ทำไมอาหารไทยไปไม่สุด” ในงาน FoodX Premiumization Day 2025 จึงเปรียบเสมือนพื้นที่ผ่าตัดใหญ่ทางความคิด โดยมี 3 แม่ทัพจากโมเดลสามประสาน (Triple Helix) ได้แก่ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, ดร.เจริญ แก้วสุกใส ประธานอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ รศ.ดร.ชาลีดา บรมพิชัยชาติกุล ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย (RUN Office) มาร่วมกันชำแหละปมปัญหาที่ฉุดรั้งศักยภาพไทย ตั้งแต่งบวิจัยที่ถดถอยไปจนถึงการทำงานที่แยกส่วน เพื่อค้นหาทางออกที่จะเปลี่ยนอุตสาหกรรมอาหารไทยให้ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมอย่างแท้จริง

ภาพลวงตาของความยิ่งใหญ่: กับดักที่ซ่อนอยู่ในตัวเลข

ท่ามกลางความภาคภูมิใจในสมญานาม “ครัวของโลก” และตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพีที่สูงถึงระดับ 18 ล้านล้านบาท อาจทำให้หลายคนเข้าใจว่าอุตสาหกรรมอาหารของไทยกำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่งและไร้ซึ่งอุปสรรค ทว่า ดร.พิเชฐ ได้เปิดเผยข้อมูลอีกด้านที่ชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใน โดยเมื่อพิจารณารายได้ต่อหัวของคนไทยที่เฉลี่ยเพียงประมาณ 260,000 บาทต่อปีแล้ว จะพบความจริงที่ว่าประเทศไทยยังคงติดหล่มอยู่ในกับดักรายได้ปานกลางอย่างเหนียวแน่น และเมื่อเจาะลึกไปถึงโครงสร้างของอุตสาหกรรมอาหาร ตัวเลขที่ดูสวยหรูในภาพรวมกลับซ่อนความบิดเบี้ยวเชิงโครงสร้างไว้อย่างน่ากังวล

ความเหลื่อมล้ำประการแรกปรากฏชัดในรูปแบบที่อาจเรียกว่าเป็นภาวะหัวโตขาลีบของโครงสร้างผู้ประกอบการไทย ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ชี้ให้เห็นว่าแม้ประเทศไทยจะมีจำนวนผู้ประกอบการรายย่อยหรือกลุ่มไมโครสูงถึงร้อยละ 72 ของผู้ประกอบการทั้งหมด แต่กลุ่มนี้กลับมีศักยภาพในการสร้างการจ้างงานรวมกันเพียงร้อยละ 7 เท่านั้น ในทางตรงกันข้าม ธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีจำนวนเพียงร้อยละ 2 กลับเป็นผู้แบกรับภาระการจ้างงานไว้สูงถึงร้อยละ 66 ของทั้งอุตสาหกรรม สถิตินี้สะท้อนให้เห็นปัญหาใหญ่ว่าธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางของไทยยังขาดศักยภาพในการขยายขนาดธุรกิจเพื่อสร้างงานและรายได้ที่แท้จริงให้กับระบบเศรษฐกิจ

ความเหลื่อมล้ำดังกล่าวยังขยายวงกว้างไปสู่มิติเชิงภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลทางสถิติระบุว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภูมิภาคที่มีจำนวนผู้ประกอบการมากที่สุดในประเทศ โดยมีจำนวนกว่า 50,000 ราย แต่กลับมีความสามารถในการจ้างงานรวมเพียง 160,000 คน ซึ่งสวนทางอย่างสิ้นเชิงกับภาคกลางที่มีจำนวนผู้ประกอบการน้อยกว่าเกือบครึ่งหนึ่ง คือประมาณ 26,000 ราย แต่กลับมีการจ้างงานสูงถึง 650,000 คน ปรากฏการณ์นี้บ่งชี้ว่าฐานการผลิตที่มีมูลค่าสูงและการจ้างงานส่วนใหญ่ยังคงกระจุกตัวอยู่เพียงพื้นที่ส่วนกลาง ในขณะที่ภูมิภาคอื่นที่มีจำนวนผู้ประกอบการมากกลับไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้เท่าที่ควร

นอกจากปัญหาเชิงโครงสร้างแล้ว สัญญาณเตือนภัยที่น่ากังวลที่สุดคือทิศทางการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศที่กำลังถดถอยลงข้อมูลเผยให้เห็นว่าเม็ดเงินลงทุนวิจัยด้านอาหารของไทยลดลงอย่างน่าใจหาย จากเดิมที่เคยสูงถึง 30,000 ล้านบาท เหลือเพียงประมาณ 17,000 ล้านบาทในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งสัดส่วนการลงทุนจากภาคเอกชนที่เคยเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนถึงร้อยละ 75 ก็ปรับตัวลดลงเหลือร้อยละ 67 ซึ่งนับเป็นทิศทางที่สวนกระแสโลกในยุคที่ทุกประเทศต่างต้องใช้นวัตกรรมเป็นเครื่องมือหลักในการสร้างมูลค่าเพิ่มและหนีการแข่งขันด้านราคา

อย่างไรก็ตาม ภายใต้ตัวเลขที่น่ากังวลเหล่านี้ยังคงมีสัญญาณของการปรับตัวที่ดีอยู่บ้าง โดย ดร.เจริญ แก้วสุกใส ประธานอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่าแม้ตัวเลขมูลค่าอุตสาหกรรมจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจะอยู่ที่ 1.6 ล้านล้านบาท แต่หากนับรวมมูลค่าทั้งห่วงโซ่อุปทาน ตัวเลขจริงอาจสูงถึง 10 ล้านล้านบาท และที่น่าสนใจคือสัดส่วนสินค้าอาหารของไทยได้เริ่มเปลี่ยนผ่านจากเดิมที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ขั้นพื้นฐาน มาเป็นสินค้าแปรรูปสำเร็จรูปในสัดส่วนครึ่งต่อครึ่งแล้ว ซึ่งถือเป็นพัฒนาการที่สำคัญ

กระนั้นก็ตาม ความท้าทายจากภายนอกยังคงเป็นปัจจัยเร่งที่บีบคั้นให้อุตสาหกรรมอาหารไทยต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน ดร.พิเชฐ เปรียบเปรยสถานการณ์นี้ว่าเป็นภาวะที่ประเทศไทยกำลังถูกบีบอัด หรือ แซนด์วิช เอฟเฟกต์ โดยด้านหนึ่งต้องเผชิญกับกำแพงภาษีร้อยละ 19 จากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ และอีกด้านหนึ่งต้องรับมือกับคลื่นสินค้าที่หลั่งไหลมาจากจีน สถานการณ์รอบด้านเหล่านี้จึงเป็นเครื่องยืนยันว่า อุตสาหกรรมอาหารไทยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเร่งปฏิรูปโครงสร้างและใช้นวัตกรรมนำทาง เพื่อก้าวข้ามกับดักภาพลวงตาเหล่านี้ไปสู่ความยั่งยืนที่แท้จริง

หุบเหวแห่งความตาย (Valley of Death): งานวิจัยที่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน

รศ.ดร.ชาลีดา บรมพิชัยชาติกุล ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย (RUN Office)
รศ.ดร.ชาลีดา บรมพิชัยชาติกุล ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย (RUN Office)

คำถามที่มักดังก้องอยู่ในวงการนวัตกรรมไทยคือเหตุใดนักวิจัยไทยที่มีความรู้ความสามารถระดับสูงจึงไม่สามารถผลักดันสินค้าไทยให้ก้าวล้ำนำสมัยในตลาดโลกได้ รศ.ดร.ชาลีดา บรมพิชัยชาติกุล ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย (RUN Office) ในฐานะตัวแทนจากภาควิชาการได้ไขข้อข้องใจนี้โดยชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยมิได้ขาดแคลนบุคลากรที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากเครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย หรือ รัน (Research University Network: RUN) ที่รวบรวมนักวิจัยระดับหัวกะทิ 100 อันดับแรกด้านอาหารจากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั้ง 8 แห่ง อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เอาไว้อย่างพร้อมเพรียง ทว่าอุปสรรคสำคัญที่เปรียบเสมือนกำแพงสูงชันที่ขวางกั้นความสำเร็จอยู่คือสิ่งที่เรียกว่า หุบเหวมรณะ หรือ Valley of Death ซึ่งเป็นช่วงรอยต่ออันตรายระหว่างงานวิจัยในห้องปฏิบัติการกับการผลิตจริงในเชิงพาณิชย์

ความยากลำบากของการข้ามหุบเหวนี้อยู่ที่ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงของสภาวะแวดล้อม การทำงานวิจัยในห้องแล็บมักทำในปริมาณน้อยเพียงไม่กี่ชิ้นภายใต้สภาวะที่ควบคุมได้ แต่เมื่อต้องขยายขนาดไปสู่การผลิตระดับอุตสาหกรรมหรือ แมส โปรดักชัน ที่ต้องผลิตสินค้าจำนวนมหาศาลเป็นแสนชิ้นหรือเป็นตัน เงื่อนไขและความเสถียรของกระบวนการผลิตจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จุดนี้เองที่เป็นความเสี่ยงสูงสุดซึ่งต้องอาศัยเม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาล ภาคเอกชนซึ่งต้องคำนึงถึงผลกำไรขาดทุนเป็นหลักจึงมักไม่กล้าเสี่ยงลงทุนในช่วงรอยต่อนี้ ขณะที่ภาครัฐเองก็ยังขาดกลไกสนับสนุนที่เพียงพอ ทำให้งานวิจัยดี ๆ จำนวนมากต้องจบชีวิตลงเพียงแค่เป็นต้นแบบที่ไม่เคยออกสู่ตลาดจริง

เพื่อถมช่องว่างดังกล่าวให้เต็ม รศ.ดร.ชาลีดา ได้นำเสนอแนวทางแก้ไขที่น่าสนใจโดยถอดบทเรียนจากโมเดลความสำเร็จของประเทศอังกฤษที่เรียกว่า หุ้นส่วนการถ่ายทอดองค์ความรู้ หรือ เคทีพี (Knowledge Transfer Partnership: KTP) ซึ่งดำเนินการมาอย่างยาวนานถึง 50 ปี หัวใจสำคัญของโมเดลนี้คือการสร้าง คนกลาง หรือ อินเทอร์มีเดียรี่ เข้ามาทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างภาควิชาการและภาคธุรกิจ โดยคนกลางเหล่านี้มักเป็นบัณฑิตจบใหม่ที่มีศักยภาพ เข้าไปทำงานฝังตัวอยู่ในบริษัทเอกชนเพื่อเรียนรู้โจทย์ทางธุรกิจและนำองค์ความรู้จากมหาวิทยาลัยมาประยุกต์ใช้ การมีตัวกลางที่สามารถสื่อสารได้ทั้งภาษาธุรกิจและภาษาวิจัยจะช่วยลดความหวาดระแวงและสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน ทำให้การถ่ายทอดเทคโนโลยีเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ การสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่สมบูรณ์ยังเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่อาจละเลย แม้ปัจจุบันประเทศไทยจะมีหน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ (Incubator) และหน่วยเร่งการเติบโตทางธุรกิจ (Accelerator) รวมถึงโรงงานต้นแบบ (Pilot Plant) ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ อยู่บ้างแล้ว แต่ปัญหาคือการขาดงบประมาณสนับสนุนที่ต่อเนื่องและการทำงานที่ยังไม่สอดประสานกัน ทางออกที่ยั่งยืนที่สุดคือการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการทำงานแบบต่างคนต่างทำ มาเป็นการร่วมมือกันตั้งแต่ต้นน้ำ หรือที่เรียกว่า โค-ครีเอชัน (Co-creation) โดยให้นักวิจัยได้รับโจทย์จากความต้องการจริงของตลาดตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อให้มั่นใจว่างานวิจัยที่ออกมานั้นจะสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้จริง ซึ่งจะช่วยลดความลึกของหุบเหวมรณะและเพิ่มโอกาสที่นวัตกรรมอาหารไทยจะก้าวไปถึงฝั่งฝันในตลาดโลกได้อย่างงดงาม

พลิกโฉมด้วยเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) และปัญญาประดิษฐ์(AI): ทางรอดที่ไม่ใช่ทางเลือก

ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

เมื่อยุคสมัยของการแข่งขันด้วยราคาและการขายสินค้าโภคภัณฑ์แบบเดิมสิ้นสุดลง ดร.พิเชฐ ได้ชี้ให้เห็นถึงทางรอดเดียวที่จะทำให้อุตสาหกรรมอาหารไทยยังคงยืนหยัดอยู่ได้ นั่นคือการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (AI) มาใช้อย่างเร่งด่วนในฐานะชัยชนะระยะสั้น หรือ ควิกวิน (Quick Win) ที่ไม่อาจรีรอได้อีกต่อไป โดยเสนอแนวคิดที่แหลมคมว่า ประเทศไทยไม่ควรพึ่งพาเพียงแค่เครื่องมือสาธารณะอย่างแชตจีพีที (ChatGPT) ของต่างชาติในการพัฒนาอุตสาหกรรมแต่จำเป็นต้องสร้างโมเดลภาษาขนาดใหญ่สำหรับอาหารไทย(Thai Food Large Language Model: Thai Food LLM) ขึ้นมาเป็นของตนเองระบบนี้จะทำหน้าที่รวบรวมองค์ความรู้ สูตรอาหาร และข้อมูลเชิงลึกที่เป็นความลับทางการค้าไว้ในระบบปิด เพื่อป้องกันไม่ให้ภูมิปัญญาและข้อมูลสำคัญรั่วไหลไปสู่คู่แข่ง ในขณะเดียวกันก็สามารถประมวลผลข้อมูลมหาศาลเพื่อสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจได้อย่างแม่นยำ

นอกจากโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลแล้ว ดร.พิเชฐ ยังเสนอให้ภาครัฐลงทุนงบประมาณนำร่องราว 300 ถึง 500 ล้านบาทเพื่อสร้างกรณีการใช้งานจริง (Use Cases) ของเอไอให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำด้วยระบบฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farm) ที่ใช้เทคโนโลยีความแม่นยำสูง การใช้ระบบอัตโนมัติ (Automation) ในโรงงานแปรรูปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การใช้เอไอเพื่อการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ที่สร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย ไปจนถึงการบริหารจัดการเพื่อลดขยะอาหารให้เป็นศูนย์ (Zero Waste) ซึ่งการลงทุนเหล่านี้จะเป็นตัวจุดประกายให้ภาคเอกชนเห็นภาพและกล้าที่จะปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตไปสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ

ในฝั่งของวิทยาศาสตร์เชิงลึก (Deep Tech) รศ.ดร.ชาลีดาได้ขยายความถึงเทรนด์โลกที่กำลังมุ่งไปสู่อาหารแห่งอนาคตที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น นั่นคือ อาหารเฉพาะบุคคล (Personalized Food) และ อาหารฟังก์ชัน (Functional Food) โดยประเทศไทยมีความได้เปรียบอย่างมหาศาลจากความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งนักวิจัยไทยสามารถใช้นวัตกรรมเปลี่ยนวัตถุดิบที่เคยถูกมองว่าเป็นผู้ร้ายอย่าง แป้งและน้ำตาล ให้กลายร่างเป็น พรีไบโอติก (Prebiotics) มูลค่าสูงสำหรับเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน หรือการวิจัยและพัฒนาข้าวสีสายพันธุ์ไทยที่พบว่ามีสารกาบา (GABA) สูง ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างเซโรโทนิน (Serotonin) และเปลี่ยนเป็นเมลาโทนิน (Melatonin) ตามธรรมชาติ ช่วยแก้ปัญหาการนอนหลับและตอบโจทย์สังคมผู้สูงอายุได้อย่างตรงจุด

ความก้าวหน้าเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า การยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การแปรรูปเบื้องต้นอีกต่อไป แต่เป็นการผสานองค์ความรู้ด้านจีโนมิกส์ (Genomics) และเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) เข้ามาใช้ในการออกแบบอาหารที่จำเพาะเจาะจงกับพันธุกรรมและปัญหาสุขภาพของแต่ละบุคคล ซึ่งหากประเทศไทยสามารถเชื่อมต่อห่วงโซ่แห่งนวัตกรรมนี้ได้สำเร็จ เราจะไม่เพียงแค่ส่งออกอาหารเพื่อความอิ่มท้อง แต่จะกลายเป็นผู้ส่งออกสุขภาพและคุณภาพชีวิต ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในตลาดโลกยุคปัจจุบัน

เสียงจากภาคเอกชน: “ตลาดนำการผลิตและของสดคือพรีเมียม

ดร.เจริญ แก้วสุกใส ประธานอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ดร.เจริญ แก้วสุกใส ประธานอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

จากประสบการณ์อันยาวนานในสนามธุรกิจจริง ดร.เจริญ ได้เปิดมุมมองใหม่ที่ท้าทายความเชื่อเดิม ๆ เกี่ยวกับนวัตกรรมอาหาร โดยชี้ให้เห็นว่าสัดส่วนผลิตภัณฑ์อาหารของไทยในปัจจุบันได้เปลี่ยนผ่านจากสินค้าโภคภัณฑ์มาเป็นสินค้าแปรรูปในสัดส่วนที่เท่ากันแล้ว ทว่านวัตกรรมในโลกยุคใหม่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การแปรรูปซับซ้อน หรือ อัลตราโพรเซส (Ultra-processed) เพื่อยืดอายุอาหารให้นานที่สุดเสมอไป แต่กระแสโลกกำลังหมุนกลับมาสู่คุณค่าของ ความสดใหม่ (Freshness) ที่จัดการด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง การทำเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) ที่แม่นยำตั้งแต่ต้นน้ำ ผสานกับการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว (Post-harvest Technology) และระบบโลจิสติกส์ความเย็น (Cold Chain) ที่มีประสิทธิภาพ สามารถเปลี่ยนผักสลัดธรรมดาให้กลายเป็นสินค้าระดับพรีเมียมที่ส่งขายแบบวันต่อวัน (Day-to-day) หรือการส่งออกทุเรียนสดและกุ้งทะเลที่ยังคงคุณภาพความสดเหมือนเพิ่งขึ้นจากฟาร์ม ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงทั่วโลกกำลังถวิลหา และเป็นทิศทางที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงกว่าการแปรรูปแบบดั้งเดิม

ในมิติของการทำตลาด ดร.เจริญ ได้เน้นย้ำถึงหลักคิด ตลาดนำการผลิต (Market-led Production) หรือการผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้ออย่างแท้จริง โดยสะท้อนปัญหาว่านักวิจัยไทยส่วนใหญ่มีความเป็นเลิศในเชิงทฤษฎีแต่ยังขาดความเข้าใจบริบทของการตลาดและการแข่งขันในเวทีโลก พร้อมยกตัวอย่างกลยุทธ์การเจาะตลาดมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สำหรับตลาดสหรัฐฯ นั้นถือเป็นผู้ผลิตเนื้อไก่และหมูที่ต้นทุนต่ำที่สุดในโลก การที่ไทยจะพยายามส่งสินค้าพื้นฐานเหล่านี้ไปแข่งขันจึงเป็นเรื่องยาก แต่ควรพลิกวิกฤตเป็นโอกาสด้วยการส่งสินค้าที่สหรัฐฯ ผลิตไม่ได้ เช่น อาหารทะเล ผลไม้เมืองร้อน หรือส่วนผสมอาหาร (Ingredients) ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในขณะที่ตลาดจีนซึ่งมีการแข่งขันดุเดือดผ่านช่องทางออนไลน์ จำเป็นต้องเน้นสินค้าที่มีอายุการเก็บรักษานาน (Shelf-life) และมีความเสถียรของคุณภาพเพื่อรองรับระบบการกระจายสินค้าที่กว้างขวาง

นอกจากนี้ จุดแข็งที่สุดที่เปรียบเสมือนสินทรัพย์ทางปัญญาของชาติคือ อาหารไทย (Thai Food) ซึ่งสถิติระบุชัดเจนว่าเป็นปัจจัยดึงดูดอันดับหนึ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจเดินทางมาเยือนประเทศไทย โดยนักท่องเที่ยวกว่าร้อยละ 25 มีเป้าหมายหลักคือการลิ้มลองรสชาติอาหาร ทว่าจุดอ่อนที่ต้องเร่งแก้ไขคือเรื่อง สุขอนามัย (Sanitation) โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารริมทาง หรือ สตรีตฟู้ด (Street Food) หากประเทศไทยสามารถยกระดับมาตรฐานความสะอาดและความปลอดภัยทางอาหารให้เป็นศูนย์ (Zero Defect) ได้ ควบคู่ไปกับการเติมฟังก์ชันเรื่องสุขภาพลงไปในเมนูยอดนิยม ก็จะสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับอาหารจานโปรดเหล่านี้ได้อย่างมหาศาล ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยความร่วมมือที่ภาคเอกชนต้องเป็นผู้กำหนดโจทย์ หรือ การบ้าน (Homework) ที่ชัดเจนส่งต่อไปยังภาควิชาการ เพื่อให้นักวิจัยผลิตคำตอบที่ภาคธุรกิจสามารถนำไปใช้ทำเงินได้จริง ไม่ใช่งานวิจัยที่จบอยู่เพียงแค่บนหิ้งอีกต่อไป

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย: ปลดล็อกเพื่ออนาคต

บทสรุปจากการเสวนาครั้งนี้นำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่เป็นรูปธรรมเพื่อผ่าทางตันให้กับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ โดย ดร.พิเชฐ ได้เปิดเผยถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระลอกใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นเพื่อเปลี่ยนโฉมหน้าการลงทุนของไทย นั่นคือการใช้มาตรการทางภาษีที่จูงใจแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยขณะนี้ภาครัฐกำลังเร่งผลักดันนโยบายที่อนุญาตให้ภาคเอกชนสามารถนำค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาไปหักลดหย่อนภาษีได้สูงถึง 3 เท่า หรือ 300 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นมาตรการที่ก้าวหน้าอย่างมากในระดับสากล ความหมายในทางปฏิบัติคือ หากผู้ประกอบการลงทุนวิจัย 1 ล้านบาท จะสามารถนำไปบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อขอลดหย่อนภาษีได้เสมือนจ่ายจริงถึง 3 ล้านบาท ซึ่งมาตรการนี้จะครอบคลุมทุกอุตสาหกรรมไม่จำกัดเฉพาะอาหาร เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจกล้าที่จะเจียดกำไรมาลงทุนสร้างนวัตกรรมอย่างก้าวกระโดด

นอกจากการปลดล็อกเรื่องเงินทุนแล้ว การปลดล็อกเรื่องคนก็เป็นหัวใจสำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากปัจจุบันบุคลากรด้านการวิจัยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ดร.พิเชฐ จึงได้เน้นย้ำถึงการรื้อฟื้นและขับเคลื่อนมาตรการ การเคลื่อนย้ายบุคลากรที่มีศักยภาพสูง (Talent Mobility) ให้มีความเข้มข้นยิ่งขึ้น กลไกนี้จะอนุญาตให้อาจารย์หรือนักวิจัยในมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของรัฐ ซึ่งถือเป็นมันสมองของชาติ สามารถข้ามฟากไปทำงานในภาคเอกชนได้แบบเต็มเวลาเสมือนเป็นพนักงานบริษัท โดยที่ยังคงสถานะข้าราชการหรือพนักงานมหาวิทยาลัยไว้ตามเดิม และที่สำคัญคือสามารถนำผลงานที่ทำในภาคธุรกิจมาขอเลื่อนตำแหน่งทางวิชาการได้ด้วย มาตรการนี้จะช่วยแก้ปัญหาคอขวดของภาคเอกชนที่ขาดแคลนนักวิจัย และทำให้อาจารย์มหาวิทยาลัยได้นำความรู้ไปใช้แก้โจทย์จริงในโลกธุรกิจ แทนที่จะทำวิจัยเพื่อเก็บไว้เพียงในห้องสมุด

ในเชิงโครงสร้างบริหารจัดการที่มีความซับซ้อน ดร.เจริญ และ ดร.พิเชฐ มีความเห็นสอดคล้องกันว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องทลายกำแพงการทำงานแบบแยกส่วน (Silo) ของหน่วยงานภาครัฐที่ต่างคนต่างทำ โดยมีข้อเสนอให้ยกระดับหน่วยงานขับเคลื่อนสำคัญอย่างเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) และสถาบันอาหาร (National Food Institute) จากเดิมที่เป็นเพียงหน่วยงานโครงการหรือสถาบันอิสระให้กลายเป็นองค์การมหาชน (Public Organization) ที่มีภารกิจระดับวาระแห่งชาติ (National Agenda) การยกระดับนี้จะช่วยให้หน่วยงานเหล่านี้ได้รับงบประมาณสนับสนุนโดยตรงจากรัฐ เพื่อมุ่งเน้นการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศได้เต็มที่โดยไม่ต้องพะวงกับการหารายได้เลี้ยงตัวเอง พร้อมกันนี้ ภาคเอกชนยังเรียกร้องให้มีเจ้าภาพหลักในระดับรองนายกรัฐมนตรี เข้ามากำกับดูแลและบูรณาการข้ามกระทรวง ทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายจากต้นน้ำถึงปลายน้ำเป็นไปในทิศทางเดียวกันและสามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม

ท้ายที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนให้กับภาคเอกชนในช่วงเปลี่ยนผ่าน ภาครัฐเตรียมงัดกลไกทางการเงินผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness Fund) เข้ามาสนับสนุนในรูปแบบของเงินทุนสมทบ (Matching Fund) โดยมีหลักการคือ หากภาคเอกชนหรือกลุ่มทุนเสี่ยง (Venture Capital) มีการลงทุนในโครงการนวัตกรรม รัฐบาลพร้อมที่จะเติมเงินสมทบให้ในวงเงินที่สูงถึงระดับ 20 ล้านบาทไปจนถึง 50 ล้านบาทต่อโครงการ โดยมีเงื่อนไขให้ดำเนินการตามข้อกำหนดที่ตกลงร่วมกัน การมีรัฐเข้ามาร่วมแบกรับความเสี่ยงเช่นนี้ จะเป็นตัวแปรสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนกล้าที่จะเดิมพันกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมอาหารไทยในอนาคต

ความหวังบนความท้าทาย

แม้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี (GDP) ของไทยจะทรงตัวอยู่ที่ระดับร้อยละ 2 ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่ากังวลเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านดาวรุ่งอย่างเวียดนามที่ทะยานไปถึงร้อยละ 7 หรืออินโดนีเซียที่รักษาระดับไว้ได้ที่ร้อยละ 5 แต่ท่ามกลางพายุแห่งความไม่แน่นอนนี้ วิทยากรทั้งสามท่านต่างยืนยันเจตนารมณ์เดียวกันว่า ประเทศไทยยังคงมีความหวังหากทุกภาคส่วนตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างภูมิคุ้มกัน (Resilience) ให้กับระบบเศรษฐกิจ เพราะความท้าทายในโลกอนาคตไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ภัยธรรมชาติที่ควบคุมไม่ได้ แต่ยังรวมถึงแรงกระแทกจากวิกฤตทางการเงิน (Financial Crisis) และกฎกติกาการค้าโลกใหม่ด้านความยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งไม่ใช่ทางเลือกที่ทำก็ได้ไม่ทำก็ได้อีกต่อไป แต่กลายเป็นเงื่อนไขบังคับที่ชี้ชะตาความอยู่รอดของธุรกิจ

ในห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านที่เปราะบางนี้ ดร.พิเชฐ ได้ฝากข้อคิดที่เป็นหัวใจสำคัญทิ้งท้ายไว้ว่า สังคมไทยจะสามารถก้าวข้ามวิกฤตไปได้ก็ต่อเมื่อสังคมนั้นเปี่ยมไปด้วย ความหวังและโอกาส (Hope and Opportunity) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างระบบนิเวศที่เกื้อกูลกันภายในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ซึ่งบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมต้องยื่นมือเข้ามาช่วยประคับประคองผู้ประกอบการรายย่อย (SME) ให้สามารถปรับตัวและผ่านเกณฑ์มาตรฐานโลกที่เข้มงวดอย่าง สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือ อีเอสจี (ESG) ไปด้วยกัน เพราะหากรายย่อยล้ม รายใหญ่ก็ไม่อาจยืนหยัดอยู่ได้เพียงลำพัง

ในขณะเดียวกัน ทางฝั่งวิชาการอย่าง รศ.ดร.ชาลีดา ได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะเปิดรั้วมหาวิทยาลัยให้กว้างขึ้นผ่านเครือข่ายพันธมิตร เพื่อทำงานร่วมกับภาคเอกชนในการสร้าง ผู้ชนะ (Champion) หรือต้นแบบความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมให้เกิดขึ้นจริง โดยมุ่งเน้นการใช้นวัตกรรมขั้นสูงอย่าง เทคโนโลยีการหมักแม่นยำ (Precision Fermentation) หรือการพิสูจน์ผลทางคลินิก (Clinical Trial) เพื่อยืนยันสรรพคุณทางสุขภาพของอาหารไทยตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการไขประตูสู่ตลาดสินค้าระดับพรีเมียม

การเดินทางของอาหารไทยในทศวรรษหน้า จึงไม่ใช่ภารกิจที่ต่างคนต่างทำอีกต่อไป แต่คือการผนึกกำลังครั้งประวัติศาสตร์ภายใต้โมเดล สามประสาน (Triple Helix) ที่ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการ ต้องร่วมหัวจมท้ายเพื่อถักทอความยั่งยืน (Sustainability), สุขภาพ (Health) และ เทคโนโลยี (Technology) ให้เป็นเนื้อเดียวกัน เพื่อรักษาตำแหน่ง ครัวของโลก (Kitchen of the World) ให้เป็นมรดกทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่ยั่งยืนสำหรับลูกหลานไทยสืบไป

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Agoda ปักหมุด One Bangkok เดิมพันปั้น ‘Silicon Valley’ กลางกรุง

CU Living ARCH 5.0: ปลุกตึกเก่าให้ ‘หายใจ’ ด้วย Digital Twin รับมือโลกเดือด

×

Share

ผู้เขียน