ในจักรวาลของธุรกิจอาหารที่เรื่องเล่าส่วนใหญ่มักเริ่มต้นจากความหลงใหล (Passion) ในรสชาติและสูตรลับประจำตระกูล แต่เรื่องราวของ HAAB แบรนด์ขนมไข่ชื่อดังที่ทะยานสู่หลักร้อยล้าน กลับฉีกทุกตำราและนำเสนอพิมพ์เขียวใหม่ของความสำเร็จที่ขับเคลื่อนด้วยพลังของ “ข้อมูล” (Data) อย่างแท้จริง
บนเวที Scale Fast ทัพไทย ฤทธาพรม Co-Founder ของ HAAB ได้เปิดเผยเส้นทางที่น่าทึ่งของแบรนด์ ซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่สวนทางกับภาพจำของผู้ประกอบการสายอาหารโดยสิ้นเชิง “จริง ๆ แล้ว ผมไม่เคยคิดที่จะทำธุรกิจอาหารเลยเวลาใครพูดถึงเรื่องธุรกิจอาหารผมก็จะตัดไปบอกว่า เราไม่ชอบ เราทำไม่เป็น”
ด้วยพื้นฐานการทำงานในตำแหน่ง Business Analyst ที่เคยปลุกปั้นแพลตฟอร์มอย่าง Shopee ตั้งแต่ยุคบุกเบิก และผ่านประสบการณ์กับยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon.com ทำให้ DNA ของเขาคือการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาโอกาสทางธุรกิจ ไม่ใช่การปรุงอาหารในครัว
จุดกำเนิด: เมื่อ Data ส่งเสียงดังกว่าสัญชาตญาณ
ไอเดียของ HAAB เกิดขึ้นจาก co-founder ซึ่งเป็นคนสงขลาและหลงใหลในรสชาติของขนมไข่ แต่ในตอนแรกโปรเจกต์นี้ถูกปฏิเสธไป เพราะทีมวิเคราะห์แล้วมองไม่เห็นดีมานด์หรือขนาดของตลาดที่ชัดเจน แต่คุณทัพไทยยังคงเก็บโปรเจกต์นี้ไว้ในลิสต์ติดตามของเขา
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในอีกหนึ่งปีครึ่งต่อมา เมื่อเขากลับมาตรวจสอบข้อมูลอีกครั้งและพบ Insight สำคัญจากการดึงข้อมูลหลังบ้านของ Shopee มีร้านหนึ่งขายขนมไข่ใน Shopee ขายได้เป็นหมื่นออเดอร์ สัญญาณจากข้อมูลที่ชัดเจนนี้เอง ที่ทำให้โปรเจกต์ขนมไข่ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง เป็นการตัดสินใจที่ไม่ได้มาจากความรู้สึก แต่มาจากตัวเลขที่พิสูจน์ได้ว่ามีตลาดรองรับอยู่จริง
MVP: กลยุทธ์ทดลองตลาดด้วยความเสี่ยงต่ำที่สุด
เมื่อตัดสินใจจะลงสนาม คุณทัพไทยไม่ได้ทุ่มสุดตัวในทันที แต่เลือกใช้กลยุทธ์แบบสตาร์ตอัพที่เรียกว่า MVP (Minimum Viable Product) คือการสร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบเพื่อทดลองตลาดด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้
“สิ่งที่ผมต้องการหลัก ๆ คือ Demand เวลาเราทำรีเสิร์ช เราจะได้สิ่งที่เรียกว่า Expected Demand หรือดีมานด์ที่เราคาดการณ์ แต่เวลาทำธุรกิจจริง ใช้แค่นั้นไม่ได้ มันต้องใช้สิ่งที่เรียกว่า Actual Demand หรือยอดขายที่เกิดขึ้นจริง”
HAAB เริ่มต้นด้วยบูธเล็ก ๆ ข้างทาง ใช้ฟิวเจอร์บอร์ดทำป้าย ด้วยงบประมาณสำหรับอุปกรณ์เพียง 30,000 บาท และงบการตลาดสำหรับจ้าง KOL อีก 10,000 บาท เป้าหมายไม่ใช่กำไร แต่เพื่อเก็บข้อมูลและพิสูจน์ว่า “ขายได้จริงหรือไม่” ผลลัพธ์คือยอดขายเติบโตจากวันละ 2,000 บาท พุ่งขึ้นเป็น 12,000 บาทต่อวัน ภายในหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเกิดจากการซื้อซ้ำและการบอกต่อของลูกค้า นี่คือข้อมูล Actual Demand ที่แข็งแกร่งพอที่จะทำให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไป
“Channel Expansion”: เคล็ดลับการสเกลอัปและใช้‘อีเวนต์’ เป็นเครื่องมือเก็บข้อมูล
เมื่อพิสูจน์ตลาดได้สำเร็จ HAAB ได้นำโมเดล Channel Expansion มาใช้เพื่อขยายธุรกิจอย่างรวดเร็ว นั่นคือการขยายจุดที่ลูกค้าจะพบเจอแบรนด์ (Touchpoint) ให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเปิดสาขาเล็ก ๆ การขายผ่านแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่ (Grab, LINE MAN) การขายบน Shopee และที่สำคัญที่สุดคือ การออกบูธตามงานอีเวนต์
ในปีที่ผ่านมา HAAB ออกอีเวนต์มากถึง 205 งาน ซึ่งคุณทัพไทยเปิดเผยว่าเป้าหมายหลักไม่ใช่ยอดขาย แต่คือ “การเก็บข้อมูล” เพื่อหาทำเลที่ดีที่สุดสำหรับการเปิดสาขาถาวร
“การไปอีเวนต์ทำให้เราได้ข้อมูลว่า ถ้าเราจะทำ Store Rollout เยอะ ๆ เราจะไปที่ไหนดี บางทีไปห้างนี้มุมนึงขายดี ถัดมาอีก 2 เมตรขายไม่ดี มันเลยทำให้ผมต้องไปอีเวนต์เยอะ ๆ เพื่อดูว่ากลุ่มลูกค้ารวมอยู่ที่ห้างไหน อยู่มุมไหนของห้าง”
ข้อมูลที่ได้มาจากการออกบูธจำนวนมหาศาลนี้ กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการตัดสินใจเปิดสาขาใหม่ได้อย่างแม่นยำ และยังใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงเพื่อเจรจากับห้างสรรพสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
ก้าวต่อไป: จากแบรนด์ระดับประเทศสู่ “Regional Brand”
ด้วยกลยุทธ์ที่เฉียบคม ทำให้ HAAB เติบโตอย่างก้าวกระโดด จากยอดขาย 150 ล้านบาทในปีที่แล้ว สู่เป้าหมาย 400-500 ล้านบาทในปีนี้ และวิสัยทัศน์ที่ไกลกว่านั้นคือการก้าวสู่หลักพันล้านบาทในฐานะ “Regional Brand”
แผนการในอนาคตประกอบด้วยการขยายสาขาในประเทศให้ครอบคลุมยิ่งขึ้นผ่านโมเดลแฟรนไชส์ และการบุกตลาดต่างประเทศที่ได้เริ่มต้นแล้วในมาเลเซีย และกำลังจะเปิดตัวในสิงคโปร์และอินโดนีเซีย
เรื่องราวของ HAAB ได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับวงการธุรกิจอาหาร พิสูจน์ให้เห็นว่าในยุคดิจิทัล ความสำเร็จอาจไม่ได้เริ่มต้นจากในครัวเสมอไป แต่สามารถก่อร่างสร้างตัวขึ้นจากความสามารถในการอ่านและวิเคราะห์ข้อมูลตลาดได้อย่างเฉียบคมและแม่นยำ
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
CP Axtra x Amity เปิดตัว Axtra AI ผู้ช่วยอัจฉริยะเบื้องหลังแม็คโคร-โลตัส
AIS คว้าสิทธิ์ยิงสด NBA ฤดูกาล 2025-2026 ประเดิมด้วย 5 แมตช์ชมฟรี
