Share on
×

Share

Premiumization: สร้าง ‘คุณค่า’ ให้เหนือ ‘ราคา’ ด้วย Mindset และเทคโนโลยี

Premiumization: สร้าง ‘คุณค่า’ ให้เหนือ ‘ราคา’ ด้วย Mindset และเทคโนโลยี

การสร้างความพรีเมียม (Premiumization): เมื่อ ‘ความพรีเมียม’ ไม่ใช่เรื่องของสินค้าราคาแพง แต่คือ ‘คุณค่าใหม่’ ที่สร้างได้ด้วยกรอบความคิด (Mindset) และเทคโนโลยี

หากคุณยังเชื่อว่าการทำสินค้าให้ “พรีเมียม” คือเอกสิทธิ์ของแบรนด์หรู หรือต้องแลกมาด้วยการทุ่มงบการตลาดมหาศาลเพื่อเพิ่มราคาขาย บทสนทนาบนเวที “How Brands Premiumize” คือกุญแจดอกสำคัญที่จะไขความเข้าใจผิดเหล่านั้นทิ้งไป เพราะเมื่อ 3 แม่ทัพใหญ่จากอุตสาหกรรมต้นน้ำถึงปลายน้ำอย่าง รัตนศิริ ติลกสกุลชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด, ณัฐวีณ์ วชิรทวีพัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ กุลโชค โพธิ์พัฒนชัย กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เอ.ไอ. และ บริษัท เอ.ไอ. เทคโนโลยี จำกัด โคจรมาพบกัน พวกเขากลับไม่ได้พูดถึงความหรูหราที่ฉาบฉวย แต่กำลังชี้ชวนให้มองลึกลงไปถึง “วิธีคิด” และ “เทคโนโลยี” ที่สามารถเปลี่ยนสินค้าหน้าตาธรรมดาให้กลายเป็นสิ่งล้ำค่าในสายตาผู้บริโภค—โดยที่ขนาดของธุรกิจไม่ใช่ข้อจำกัดแม้แต่น้อย

Reframe & Value: เปลี่ยนสินค้าธรรมดาให้เป็นฮีโร่ด้วยมุมมองใหม่

ณัฐวีณ์ วชิรทวีพัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

หนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าทึ่งที่สุดของการทำ การสร้างความพรีเมียม (Premiumization) มาจากสิ่งที่ดูธรรมดาและคุ้นเคยที่สุดอย่าง “ปลากระป๋อง” ณัฐวีณ์ วชิรทวีพัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดประเด็นด้วยตัวเลขที่น่าสนใจว่า ในอดีตตลาดสินค้ากลุ่มนี้แทบไม่โต ตัวเลขค้างอยู่ที่ 1% มานานหลายปี แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนกลับสามารถดันยอดขายสินค้ากลุ่มพรีเมียมให้เติบโตได้ถึง 8% ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย เคล็ดลับสำคัญไม่ใช่การขึ้นราคาดื้อๆ แต่คือการ ปรับมุมมองใหม่ (Reframe) หรือนิยามคุณค่าใหม่ให้กับสินค้าที่ผู้คนมองข้าม

จาก “อาหารกันตาย” สู่ “ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security)”: คุณณัฐวีณ์ชวนให้จินตนาการถึงวันที่ฝนตกหนัก ไรเดอร์ไม่สามารถมาส่งอาหารได้ หรือเกิดเหตุภัยพิบัติที่การขนส่งถูกตัดขาด ในสถานการณ์นั้น อาหารสดอาจเน่าเสีย แต่อาหารกระป๋องจะกลายเป็น “ฮีโร่” ทันที เพราะมันทำหน้าที่ของมันได้ดีที่สุด คือให้พลังงานและเก็บรักษาได้นานโดยไม่ต้องพึ่งตู้เย็นและไม่ต้องใช้ไมโครเวฟ การเปลี่ยนมุมมองนี้ทำให้ปลากระป๋องกลายเป็นสิ่งที่มอบความอุ่นใจให้กับครัวเรือน

จาก”ของถูก” สู่”สุดยอดอาหารจากธรรมชาติ (Natural Superfood)”: แทนที่จะขายแค่เนื้อปลา ไทยยูเนี่ยนสื่อสารใหม่ว่าในทูน่าหนึ่งกระป๋องมีโปรตีนสูงถึง 28 กรัม เทียบเท่าการดื่มนมโปรตีนสูงที่กำลังเป็นกระแส แต่ความพิเศษที่เหนือกว่าคือ มันอุดมไปด้วยดีเอชเอ (DHA), โอเมก้า 3 (Omega 3) และวิตามินบี 12 (Vitamin B12) ตามธรรมชาติ ซึ่งมีปริมาณมากกว่านมเสริมสารอาหารทั่วไปถึง 5 เท่าโดยไม่ต้องเติมแต่งสารเคมี

การเปลี่ยนวิธีคิดนี้ทำให้ผู้บริโภคยินดีจ่ายในราคาที่สูงขึ้น จากปกติ 18 บาท เป็น 40 บาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าตัว เพราะพวกเขามองเห็น “คุณค่า” ที่มากกว่าแค่เนื้อปลา แต่คือสุขภาพและความมั่นคง

Storytelling & Standards: มาตรฐานโลกคือใบเบิกทางและเรื่องเล่าคือมูลค่าเพิ่ม

ในยุคที่ผู้บริโภคใส่ใจโลก ความพรีเมียมไม่ได้วัดกันที่ความหรูหราภายนอกอีกต่อไป แต่แยกไม่ออกกับคำว่า ความยั่งยืน (Sustainability) และ ความโปร่งใส (Transparency) การจะนำสินค้าไปวางขายบนชั้นวางสินค้าระดับโลก หรือการสร้างความโดดเด่นด้วยการร่วมมือ (Collaboration) กับ คาแรคเตอร์ระดับโลก (Global Character) อย่าง เซซามี สตรีท (Sesame Street) หรือ พาวเวอร์พัฟฟ์ เกิร์ลส์ (Powerpuff Girls) นั้น เงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้ แต่ต้องแลกมาด้วยมาตรฐานการผลิตที่ตรวจสอบได้จริงและเข้มข้นที่สุด

ซีเล็คยืนหนึ่งตลาดทูน่า 57.5% ชูโมเดล Smart Protein ดันยอดโตสวนกระแส

เบื้องหลังความน่ารักคือมาตรฐานระดับโลก คุณณัฐวีณ์เผยข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจว่า การที่แบรนด์ระดับโลกจะอนุญาตให้นำคาแรคเตอร์มาอยู่บนบรรจุภัณฑ์ได้นั้น ไม่ใช่แค่การจ่ายค่าลิขสิทธิ์ แต่โรงงานผลิตต้องผ่านเกณฑ์สุดหิน 3 ประการ (3 Checkmarks) ที่เปรียบเสมือนใบรับรองคุณภาพสูงสุด ได้แก่

  1. การตรวจสอบโรงงาน (Factory Audit): ต้องผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานภายนอก (Third Party) อย่างละเอียด ไม่ใช่แค่เรื่องความสะอาด แต่เจาะลึกถึงสิทธิมนุษยชน ต้องไม่มีการใช้แรงงานทาส แรงงานเด็ก หรือแรงงานผิดกฎหมาย และต้องมีการจ่ายค่าแรงที่เป็นธรรม หากไม่ผ่านเกณฑ์นี้ แม้มีเงินมหาศาลก็ไม่มีสิทธิ์ได้ใช้คาแรคเตอร์
  2. คำมั่นสัญญาในการทำการตลาดกับเด็ก (Marketing to Child Pledge): สินค้าที่จะมีคาแรคเตอร์ขวัญใจเด็กๆ อยู่บนบรรจุภัณฑ์ได้ ต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพเท่านั้น ต้องผ่านเกณฑ์โภชนาการที่เข้มงวด (Nutrition Guidelines) เพื่อยืนยันว่าสินค้านี้ปลอดภัยและเป็นมิตรกับทุกคนในครอบครัว ซึ่งเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมในอีกรูปแบบหนึ่ง
  3. คุณภาพบรรจุภัณฑ์ (Packaging Quality): การผลิตต้องได้มาตรฐานสูง สีสันต้องคมชัด คาแรคเตอร์ต้องดูดีสมจริง ไม่ผิดเพี้ยน ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของเทคโนโลยีการพิมพ์และการผลิตของโรงงาน

ความยั่งยืนที่ตรวจสอบได้จริง: ความพรีเมียมยังหมายถึงความรับผิดชอบต่อแหล่งที่มา ไทยยูเนี่ยนให้ความสำคัญกับ ระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ที่ผู้บริโภคสามารถสแกนบาร์โค้ดเพื่อดูได้ทันทีว่าปลาในกระป๋องมาจากมหาสมุทรไหน จับด้วยเรือลำใด เพื่อความโปร่งใสสูงสุด นอกจากนี้ยังมีการควบคุมเรือประมงกว่า 97% ให้ปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อป้องกันการทำประมงผิดกฎหมายและการใช้แรงงานทาส รวมถึงการใช้อวนที่ไม่ตาถี่เกินไปเพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศ สิ่งเหล่านี้คือการสร้างคุณค่าภายใต้แนวคิด “Healthy Living, Healthy Ocean”

พันธกิจเพื่อโลก: อีกหนึ่งมาตรฐานที่ไทยยูเนี่ยนยึดถือคือ การไม่ปล่อยน้ำเสีย (Zero Discharge) หรือการไม่ปล่อยน้ำเสียลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติแม้แต่หยดเดียว โดยนำร่องสำเร็จแล้วที่โรงงานต้นแบบในจังหวัดสมุทรสาคร และมีเป้าหมายขยายผลไปยังโรงงานทั่วโลก สิ่งเหล่านี้คือต้นทุนที่แบรนด์ยอมจ่ายเพื่อสร้างความแตกต่างและดึงดูดลูกค้าตลาดพรีเมียม โดยเฉพาะในยุโรปที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างยิ่ง

Experience Design: ออกแบบประสบการณ์ตั้งแต่ “เห็น” จนถึง”ทิ้ง”

ณัฐวีณ์ วชิรทวีพัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
ณัฐวีณ์ วชิรทวีพัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

ในมุมมองของผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ระดับโลกอย่าง รัตนศิริ ติลกสกุลชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด ได้ขยายความถึงบทบาทของบรรจุภัณฑ์ว่าไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่ห่อหุ้มอาหารเท่านั้น แต่เปรียบเสมือนเครื่องมืออันแยบยลในการสร้างการออกแบบประสบการณ์ (Experience Design) ตลอดเส้นทางการใช้งาน (Journey) ของผู้บริโภค เริ่มตั้งแต่วินาทีแรกที่สายตาปะทะกับสินค้า ไปจนถึงวินาทีสุดท้ายที่ทิ้งลงถังขยะ

จุดเริ่มต้นของความพรีเมียมเกิดขึ้นทันทีในช่วงเวลาแรกแห่งความจริง (First Moment of Truth) เมื่อลูกค้ามองเห็นสินค้าบนชั้นวาง ซึ่งบรรจุภัณฑ์จะต้องทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวของแบรนด์ (Brand Story) ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ในตัวเอง ความโดดเด่นนี้ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องความสนใจด้วยสีสันที่ฉูดฉาด ดังเช่นกรณีกาแฟพร้อมดื่มในประเทศนอร์เวย์ซึ่งเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูงมาก แบรนด์เลือกสร้างความแตกต่างด้วยการใช้วัสดุเมทัลไลซ์ (Metallized) ที่มีความมันวาวและสะท้อนแสงไฟ ให้ความรู้สึกพรีเมียมได้ทันทีโดยไม่ต้องพึ่งพาสื่อโฆษณาเพิ่มเติม หรือในกรณีของเชียงใหม่เฟรชมิลค์ที่สามารถยกระดับจากนมถุงท้องถิ่นสู่ตลาดกรุงเทพฯ ได้สำเร็จ ด้วยการใช้กล่องบรรจุภัณฑ์ที่สื่อสารความเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) และเน้นย้ำความสดใหม่จากฟาร์ม ทำให้ผู้บริโภคสัมผัสได้ถึงความใส่ใจและที่มาที่ไปที่น่าเชื่อถือ

เมื่อลูกค้าตัดสินใจหยิบสินค้าและนำไปบริโภค จะเข้าสู่ช่วงเวลาที่สองแห่งความจริง (Second Moment of Truth) ซึ่งความพรีเมียมจะซ่อนอยู่ในรายละเอียดเล็กๆ (Micro-details) ที่ผ่านกระบวนการคิดมาอย่างถี่ถ้วนเพื่อแก้ปัญหาการใช้งานจริง เห็นได้จากศาสตร์แห่งการเปิดและดื่มที่คุณรัตนศิริยกตัวอย่างฝาขวดรุ่นดรีมแคป (Dream Cap) ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการตั้งชื่อให้ไพเราะ แต่ผ่านการวิจัยมาแล้วว่าขนาดปากขวด 26 มิลลิเมตร คือจุดที่สร้างอัตราการไหลที่เหมาะสมที่สุด (Optimum Flow) มอบความรู้สึกในการดื่มที่ดีเยี่ยม อีกทั้งยังออกแบบตามหลักการยศาสตร์ (Ergonomics) ช่วยให้ผู้หญิงสามารถเปิดได้ง่ายด้วยมือเดียวโดยไม่เจ็บมือ เป็นการคิดเผื่อผู้บริโภคในทุกมิติ

นอกจากนี้ ในตลาดจีนที่ผู้บริโภคกังวลเรื่องสารปนเปื้อน ความพรีเมียมถูกสร้างผ่านความเชื่อมั่นด้วยเทคโนโลยีการกรองความละเอียดสูง (Ultrafiltration) โดยกรองน้ำออกจนเหลือนมเข้มข้นแทนการเติมผงโปรตีน ซึ่งตอบโจทย์เรื่องความบริสุทธิ์และตรวจสอบได้ รวมถึงความสะดวกในยุคเร่งรีบสำหรับอาหารพร้อมทาน (Ready-to-eat) ที่มีการเปลี่ยนจากกระป๋องโลหะมาเป็นกล่องที่สามารถฉีกเปิดได้ด้วยมือเปล่า (Tearable) ช่วยลบความยุ่งยากในการหาที่เปิดกระป๋องและลดความเสี่ยงจากของมีคม มอบประสบการณ์การกินที่ลื่นไหลและทันสมัยกว่าเดิม

ท้ายที่สุดคือช่วงเวลาสุดท้ายแห่งความจริง (End-of-Life Moment) เพราะความพรีเมียมยุคใหม่ต้องมีความรับผิดชอบครอบคลุมไปจนถึงปลายทางเมื่อสินค้าถูกใช้หมดแล้ว บรรจุภัณฑ์จึงต้องได้รับการออกแบบให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco-friendly) สามารถพับเก็บให้แบนราบและนำไปรีไซเคิล (Recycle) ได้ง่าย การทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของการรักษ์โลก คือจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่เติมเต็มประสบการณ์ความพรีเมียมให้สมบูรณ์แบบ

Precision Technology: เทคโนโลยีไม่ใช่ทางเลือกแต่คือทางรอดของความเป๊ะ

กุลโชค โพธิ์พัฒนชัย กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เอ.ไอ. และ บริษัท เอ.ไอ. เทคโนโลยี จำกัด
กุลโชค โพธิ์พัฒนชัย กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เอ.ไอ. และ บริษัท เอ.ไอ. เทคโนโลยี จำกัด

เมื่อเอ่ยถึงนิยามของความพรีเมียมในกระบวนการผลิต สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญและขาดไม่ได้คือความสม่ำเสมอ (Consistency) เพราะต่อให้สูตรอาหารจะเลิศรสเพียงใด หรือบรรจุภัณฑ์จะสวยงามแค่ไหน หากคุณภาพสินค้าในแต่ละล็อตไม่เท่ากัน ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ก็จะพังทลายลงทันที ในประเด็นนี้ กุลโชค โพธิ์พัฒนชัย กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เอ.ไอ. และ บริษัท เอ.ไอ. เทคโนโลยี จำกัด ได้ชี้ให้เห็นถึงจุดเปราะบางของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ในประเทศไทย ที่มักเริ่มต้นธุรกิจด้วยการพึ่งพาแรงงานคน (Manual) เป็นหลัก ซึ่งแม้จะมีความยืดหยุ่นในช่วงแรก แต่กลับกลายเป็นอุปสรรคสำคัญเมื่อต้องขยายขนาดการผลิต (Scale Up) เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องความเหนื่อยล้าและความไม่แม่นยำของมนุษย์ ที่ส่งผลให้มาตรฐานสินค้าแกว่งไปมา

การเปลี่ยนผ่านจากสายตาคนสู่สายตาปัญญาประดิษฐ์ (AI) จึงเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับมาตรฐานสินค้า ดังกรณีตัวอย่างการคัดแยกกุ้งแห้งที่เดิมต้องใช้แรงงานคนนั่งคัด ซึ่งหนีไม่พ้นความผิดพลาด (Human Error) ทำให้มีกุ้งขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้าง หรือมีสิ่งปนเปื้อนปะปนกันไป แต่เมื่อนำเทคโนโลยีกล้องความเร็วสูงผนวกกับระบบปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วย เครื่องจักรสามารถจับภาพและวิเคราะห์ความแตกต่างของขนาด สี และตำหนิต่างๆ ได้อย่างละเอียดแม่นยำในเสี้ยววินาที สิ่งนี้ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถทำสิ่งที่เรียกว่าการแบ่งกลุ่ม (Segmentation) สินค้าได้อย่างชัดเจน โดยสามารถคัดสินค้าเกรดเอ (Grade A) ที่สมบูรณ์ที่สุดออกมาจำหน่ายในราคาสูงเพื่อสร้างกำไรสูงสุด และแยกจัดการสินค้าเกรดรองลงมาได้อย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นการรีดมูลค่าเพิ่มจากกองวัตถุดิบเดิมได้อย่างมหาศาลโดยไม่ต้องลงทุนซื้อของเพิ่ม

นอกเหนือจากเรื่องความแม่นยำในการคัดแยกแล้ว เทคโนโลยียังเข้ามาช่วยก้าวข้ามขีดจำกัดทางกายภาพของมนุษย์ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่โหดร้ายหรือไม่เอื้ออำนวย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมห้องเย็น (Cold Storage) ที่ต้องควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในระดับต่ำมาก ตั้งแต่ลบ 18 ถึง 4 องศาเซลเซียสเพื่อรักษาคุณภาพอาหาร ซึ่งในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ มนุษย์สามารถปฏิบัติงานต่อเนื่องได้เพียงรอบละ 18 นาทีเท่านั้นก่อนจะต้องออกมาพักเพื่อความปลอดภัย แต่หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติสามารถปฏิบัติงานได้ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่มีข้อจำกัด หรือในกรณีของการจัดการคลังสินค้าอัตโนมัติที่ต้องเคลื่อนย้ายถุงขนาดใหญ่ (Big Bag) น้ำหนักถึง 2 ตัน ด้วยความเร็วถึง 100 พาเลทต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นปริมาณงานและความเร็วที่แรงงานคนไม่สามารถทำได้ทันท่วงทีและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ

อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่องต้นทุนมักเป็นกำแพงสูงที่กั้นไม่ให้ผู้ประกอบการกล้าลงทุนในเทคโนโลยี แต่คุณกุลโชคได้ชี้ช่องทางที่น่าสนใจว่า ปัจจุบันภาครัฐมีมาตรการสนับสนุนที่เอื้อต่อการปรับตัวของผู้ประกอบการอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นมาตรการจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ให้สิทธิประโยชน์คืนภาษีได้สูงสุดถึง 100 เปอร์เซ็นต์ หากผู้ประกอบการเลือกใช้บริการจากผู้ประกอบการระบบอัตโนมัติในประเทศไทย (Local System Integrator) หรือมาตรการทางภาษีที่อนุญาตให้หักค่าเสื่อมราคาเครื่องจักรได้ถึง 2 เท่า ซึ่งมาตรการเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น การนำเทคโนโลยีมาใช้จึงไม่ใช่การเพิ่มภาระค่าใช้จ่าย แต่คือการตัดต้นทุนแฝง (Hidden Cost) มหาศาลที่เกิดจากการถูกตีกลับสินค้า (Reject) หรือการหยุดชะงักของโรงงาน (Downtime) และเป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ ซึ่งเป็นใบเบิกทางสู่ตลาดพรีเมียมระดับโลกอย่างยั่งยืน

เริ่มต้นที่กรอบความคิด (Mindset) ไม่ใช่ขนาดธุรกิจ

บทสรุปของการเสวนาในครั้งนี้ คือการทลายกำแพงความเชื่อเดิมที่ว่า การยกระดับสินค้าสู่ความพรีเมียมเป็นเกมการแข่งขันที่สงวนไว้สำหรับผู้เล่นรายใหญ่ที่มีเงินทุนมหาศาลเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงแล้ว ความพรีเมียมไม่ได้วัดกันที่ขนาดของโรงงานหรือตัวเลขในบัญชี แต่เริ่มต้นจากสิ่งที่เรียกว่ากรอบความคิดแบบพรีเมียม (Premium Mindset) ซึ่งผู้ประกอบการทุกคนสามารถสร้างขึ้นได้ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำธุรกิจ ดังที่ คุณณัฐวีณ์ได้หยิบยกเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจของ ไทยยูเนี่ยน ว่า แท้จริงแล้วบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกแห่งนี้ก็เริ่มต้นจากบริษัทห้องแถวเล็กๆ เมื่อ 48 ปีก่อน แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาก้าวมาถึงจุดนี้ได้คือวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเองทุกวันโดยไม่รอให้พร้อม เพราะหากมัวแต่รอให้ยิ่งใหญ่ก่อนแล้วค่อยสร้างมาตรฐาน ก็อาจไม่มีวันก้าวไปถึงจุดนั้นได้

ในมุมมองของ คุณรัตนศิริ ได้ขยายความเพิ่มเติมว่า อุปสรรคสำคัญที่ฉุดรั้งเอสเอ็มอี (SME) ไทยไม่ใช่เรื่องเงินทุน แต่เป็นความกลัวที่ว่าตลาดสินค้าพรีเมียมจะเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche) ที่มีขนาดเล็กเกินไปจนไม่คุ้มค่าแก่การลงทุน ทั้งที่จริงแล้ว ตลาดพรีเมียมคือโอกาสในการเติบโตที่แท้จริง เพราะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อและมองหาคุณค่าใหม่ๆ ที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง (Unmet Needs) ผู้ประกอบการจึงควรกล้าที่จะตั้งมาตรฐานการผลิตให้ทัดเทียมระดับโลกตั้งแต่วันแรก (Global Standard) โดยมองข้ามข้อจำกัดเรื่องขนาด แล้วใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางธุรกิจที่มีอยู่ เช่น การร่วมมือกับผู้รับจ้างผลิต (Co-packer) ที่มีมาตรฐานสูง เพื่อพาตัวเองก้าวข้ามข้อจำกัดด้านเงินลงทุนในช่วงเริ่มต้น

ขณะเดียวกัน คุณกุลโชค ได้ชี้ให้เห็นถึงแต้มต่อที่ธุรกิจขนาดเล็กมีเหนือกว่าองค์กรขนาดใหญ่ นั่นคือความคล่องตัว (Agility) เพราะในกระบวนการผลิตสินค้าพรีเมียมนั้น มักต้องอาศัยความใส่ใจในรายละเอียดและการผลิตแบบจำนวนไม่มากแต่หลากหลาย (High Mix, Low Volume) ซึ่งเป็นสิ่งที่โรงงานขนาดใหญ่ทำได้ยากและมีต้นทุนสูง ดังนั้น หากเอสเอ็มอีสามารถผสานความคล่องตัวเข้ากับการใช้เทคโนโลยีเพื่อควบคุมคุณภาพและคัดแยกเกรดวัตถุดิบได้อย่างแม่นยำ ก็จะสามารถสร้างพื้นที่ยืนในตลาดพรีเมียมได้อย่างสง่างาม โดยเปลี่ยนจากผู้ตามมาเป็นผู้นำที่กำหนดนิยามความสำเร็จด้วยตนเอง ไม่ว่าธุรกิจนั้นจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่เพียงใดก็ตาม

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Unilever เปิดคัมภีร์ ‘Precision at Scale’: ใช้ AI เจาะใจลูกค้าในสเกลระดับมหภาค

‘Quick Win’ ครีเอเตอร์: พลิกโฉมอาชีพสื่อสู่ทางรอดเศรษฐกิจไทย

×

Share

ผู้เขียน