Share on
×

Share

‘EnPAT’ นวัตกรรมปาล์มไทย เกราะกันเพลิงหม้อแปลง

ท่ามกลางตึกระฟ้าและชุมชนที่หนาแน่นของกรุงเทพมหานคร ความเสี่ยงที่แฝงตัวอยู่เงียบเชียบคือ “หม้อแปลงไฟฟ้า” ที่กระจายอยู่ทุกมุมเมือง ภาพจำของเหตุการณ์หม้อแปลงระเบิดที่ลุกลามกลายเป็นอัคคีภัยใหญ่โต คือโจทย์ยากที่ผู้ดูแลเมืองต้องขบคิด แต่วันนี้ ประเทศไทยกำลังก้าวข้ามความเสี่ยงนั้นด้วยนวัตกรรมที่เปลี่ยนพืชเศรษฐกิจอย่างปาล์มน้ำมัน ให้กลายเป็น “EnPAT” (เอ็นแพท) หรือน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

การเปิดตัวการใช้งานในสังคมเมือง ณ การไฟฟ้านครหลวง สำนักงานใหญ่ ไม่ใช่เพียงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ แต่คือการประกาศความสำเร็จของโมเดลความร่วมมือที่ ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. เรียกว่าเป็น “การรวมพลังของ 9 หน่วยงานหลัก” เพื่อผลักดันนวัตกรรมจากหิ้งสู่ห้าง และจากฟาร์มสู่เมืองได้อย่างแท้จริง 

เมื่อความปลอดภัยของ ‘เมือง’ ต้องมาก่อน: มากกว่าแสงสว่าง คือลมหายใจที่ปลอดภัย

“คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว… มันจะมีกลิ่นไหม? กลิ่นเหมือนกล้วยทอดหน้าปากซอยหรือเปล่า?” รศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เล่าย้อนถึงวินาทีแรกที่ได้รับการติดต่อให้นำนวัตกรรมนี้มาใช้ ภายใต้รอยยิ้มและอารมณ์ขันนั้น ซ่อนความห่วงใยในฐานะผู้ดูแล “ชีวิตคนเมือง” อย่างแท้จริง เพราะสำหรับกรุงเทพมหานคร หม้อแปลงไฟฟ้าไม่ได้ตั้งอยู่กลางทุ่งนาอันห่างไกล แต่อยู่ชิดติดรั้วบ้าน อยู่หน้าห้องนอน และแฝงตัวอยู่ในชุมชนที่แออัด 

รศ.ดร.ทวิดา กล่าวว่า กรุงเทพฯ เผชิญปัญหาไฟไหม้บ่อยครั้ง และบ่อยครั้งสาเหตุมาจากการลัดวงจรของไฟฟ้า ในอดีตเมื่อหม้อแปลงระเบิด สิ่งที่น่ากลัวกว่าแรงอัดคือ เชื้อเพลิงที่ลุกลาม น้ำมันแร่แบบเดิมทำหน้าที่เป็นสื่อนำไฟเข้าสู่บ้านเรือน แต่ EnPAT เข้ามาเปลี่ยนเกมนี้ด้วยคุณสมบัติที่ทนความร้อนสูง มันทำหน้าที่เสมือน “ตัวถ่วงเวลา” หากเกิดเหตุสุดวิสัย มันจะไม่จุดติดไฟง่าย ๆ ช่วยยืดเวลาให้เจ้าหน้าที่เข้าระงับเหตุ ลดความสูญเสียจากอัคคีภัยที่อาจคร่าชีวิตและทรัพย์สิน 

นอกจากภัยจากไฟแล้ว “ภัยเงียบทางอากาศ” ก็เป็นสิ่งที่ กทม. ให้ความสำคัญ รองผู้ว่าฯ ทวิดา ชี้ให้เห็นว่า เมืองเราเผชิญกับฝุ่นและมลพิษมากพอแล้ว การทำงานของหม้อแปลงแบบเดิมอาจปล่อยเขม่าหรือไอระเหยที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชนโดยที่เราไม่รู้ตัว การเปลี่ยนมาใช้น้ำมันชีวภาพจึงไม่ใช่แค่เรื่องกันไฟ แต่คือการการันตีว่า ทุกครั้งที่เครื่องจักรทำงาน จะไม่มีการซ้ำเติมปอดของคนกรุงเทพฯ ด้วยมลพิษที่ไม่จำเป็น 

ความละเอียดอ่อนอีกประการคือกระบวนการทำงานแบบ “ห้องทดลองเมือง” (City Lab) ที่ผ่านการพูดคุยกับชุมชนในพื้นที่นำร่อง เพื่อตอบคำถามและคลายข้อสงสัยของชาวบ้าน จนมั่นใจว่านวัตกรรมนี้คือคำตอบที่ลงตัวที่สุด การนำร่องที่เขตลาดกระบังจึงเป็นบทพิสูจน์ว่า เทคโนโลยีที่ดีต้องมาพร้อมกับความเข้าใจในบริบทของคนในพื้นที่ เพื่อให้เมืองปลอดภัยและน่าอยู่อย่างยั่งยืน

ผ่าตัดนวัตกรรม ชนะขาดด้วยวิทยาศาสตร์

ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกของหม้อแปลงไฟฟ้าที่ดูเหมือนเดิมนั้น ดร.สุมิตรา ในฐานะแม่ทัพใหญ่ทีมวิจัย ได้เปิดเผยถึงความลับทางเคมีที่ซ่อนอยู่ภายใน EnPAT ซึ่งเปลี่ยนสถานะจากเพียงแค่น้ำมันหล่อลื่นและระบายความร้อน ให้กลายเป็นเกราะนิรภัยชั้นเลิศที่พร้อมปกป้องชีวิตคนเมือง 

หัวใจสำคัญที่สร้างความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงระหว่าง EnPAT กับน้ำมันหม้อแปลงทั่วไปคือกายภาพทางเคมี โดยปกติแล้วน้ำมันหม้อแปลงเดิมคือน้ำมันแร่ หรือ Mineral Oil ที่ได้จากปิโตรเลียมซึ่งมีคุณสมบัติติดไฟง่าย แต่สำหรับ EnPAT นั้นผลิตจากเอสเทอร์ของน้ำมันปาล์ม ซึ่งมีจุดเด่นคือจุดติดไฟ หรือ Flash Point สูงกว่า 300 องศาเซลเซียส ตัวเลขนี้ถือว่าสูงกว่าน้ำมันแร่ถึง 2 เท่า การระเบิดของหม้อแปลงไม่ได้สร้างแรงอัดที่รุนแรงมากนัก แต่สิ่งที่สร้างความหายนะคือเปลวไฟที่ลุกลามหลังการระเบิด ซึ่งคุณสมบัติจุดติดไฟที่สูงลิ่วของ EnPAT นี้เอง จะทำหน้าที่เป็นกำแพงกันไฟที่ทะลุได้ยาก ช่วยตัดวงจรการเกิดอัคคีภัย โดยสามารถป้องกันการเกิดไฟไหม้เมื่อมีการระเบิดของหม้อแปลงได้มากกว่าร้อยละ 97 เปลี่ยนเหตุการณ์ที่อาจลุกลามใหญ่โตให้กลายเป็นเพียงเหตุขัดข้องทางเทคนิคที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ 

ก่อนจะถูกนำมาติดตั้งบนเสาไฟฟ้าเหนือหัวคนกรุง EnPAT ต้องผ่านด่านทดสอบความทนทานในสภาวะเร่ง หรือ Accelerated Aging ซึ่งเปรียบเสมือนการจำลองการใช้งานในนรกจำลอง ทีมวิจัยได้นำน้ำมันไปทดสอบปฏิกิริยากับกระดาษฉนวนที่อุณหภูมิสูงถึง 110 องศาเซลเซียส ต่อเนื่องยาวนานกว่า 1,000 ชั่วโมง เพื่อจำลองการใช้งานอันยาวนานในสภาพแวดล้อมจริง ผลปรากฏว่า EnPAT ไม่เพียงแต่ทนทานต่อความร้อน แต่ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของกระดาษฉนวนได้มากกว่าน้ำมันแร่ อีกทั้งยังมีค่าความเป็นฉนวนไฟฟ้า หรือ Dielectric breakdown voltage สูงกว่า 50 กิโลโวลต์ และมีความชื้นต่ำ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการเป็นฉนวนไฟฟ้าที่ดี 

ในเวทีสัมภาษณ์ยังมีประเด็นทางเทคนิคที่น่าสนใจเรื่องความหนืด (Viscosity) เนื่องจากน้ำมันปาล์มมีธรรมชาติที่ข้นหนืดกว่าน้ำมันแร่ ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นอุปสรรคต่อการระบายความร้อน แต่ทีมวิจัยได้ไขข้อข้องใจนี้ด้วยวิทยาศาสตร์ โดย ดร.สุมิตรา ยืนยันว่าแม้ EnPAT จะมีความหนืดมากกว่า แต่เมื่อผ่านกระบวนการปรับปรุงคุณสมบัติและทดสอบในหม้อแปลงจริง ประสิทธิภาพในการระบายความร้อนและการทำงานไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ที่สำคัญคือวิทยาศาสตร์ไม่ได้จบลงแค่ขั้นตอนการติดตั้ง แต่ยังมีการใช้เทคโนโลยี Online Monitoring เพื่อติดตามสมรรถนะของหม้อแปลงแบบเรียลไทม์ โดยจะมีการประเมินผลข้อมูลร่วมกันระหว่างทีมวิจัยและการไฟฟ้านครหลวงทุก ๆ 2 ถึง 3 เดือน เพื่อให้มั่นใจว่าปฏิกิริยาเคมีภายในหม้อแปลงยังคงเสถียรและปลอดภัยตลอดอายุการใช้งาน 

ความฉลาดอีกประการของการออกแบบโมเลกุล EnPAT คือหลักการวิศวกรรมย้อนกลับที่คำนึงถึงจุดจบที่สวยงามตามหลัก Circular Science ทีมวิจัยไม่ได้มองแค่การใช้งาน แต่คิดไปถึงตอนหมดอายุขัย เมื่อน้ำมันเสื่อมสภาพ มันจะไม่กลายเป็นขยะเคมีอันตรายที่ต้องเสียค่ากำจัดราคาแพงเหมือนน้ำมันแร่ แต่สามารถนำไปเป็นวัตถุดิบตั้งต้น หรือ Feedstock ในการผลิตไบโอดีเซลได้ทันที ถือเป็นการใช้วิทยาศาสตร์หมุนเวียนทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุดโดยไม่ทิ้งภาระไว้ให้โลก

จิ๊กซอว์เศรษฐกิจ: จาก ‘ต้นน้ำ’ ถึง ‘ปลายน้ำ’

ความสำเร็จของการเปิดตัว EnPAT ในครั้งนี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ความสำเร็จทางวิศวกรรม แต่คือความร่วมมือระดับมหภาคที่ร้อยเรียงห่วงโซ่อุปทาน (Value Chain) ทั้งระบบเข้าด้วยกัน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.กานดา บุญโสธรสถิตย์ ผู้อำนวยการ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หรือ บพข. ผู้สนับสนุนทุนวิจัยหลัก กล่าวว่า โครงการนี้คือกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนงานวิจัยให้เป็นอุตสาหกรรมมูลค่าสูงที่คนไทยเป็นเจ้าของเทคโนโลยีเอง โดยเป็นการบูรณาการตั้งแต่วัตถุดิบทางการเกษตรไปจนถึงการใช้งานจริงในระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ซึ่งเปรียบเสมือนการต่อจิ๊กซอว์ทางเศรษฐกิจที่ขาดชิ้นใดชิ้นหนึ่งไปไม่ได้

จิ๊กซอว์ชิ้นแรกที่ต้นน้ำคือภาคเกษตรกรรม ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของโครงการ ธัญญรัตน์ บุญกูล ผู้จัดการฝ่ายงานการตลาดและพัฒนาธุรกิจ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC ในฐานะตัวแทนผู้ผลิตต้นน้ำ ได้ชี้ให้เห็นโอกาสมหาศาลสำหรับเกษตรกรไทย โดยระบุว่า EnPAT จะเข้ามาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ให้กับปาล์มน้ำมัน ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศ การแปรรูปสู่ผลิตภัณฑ์โอลิโอเคมีมูลค่าสูงนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันแร่จากต่างประเทศ แต่ยังเป็นการสร้างรายได้และความมั่นคงให้กับเกษตรกรชาวสวนปาล์มกว่า 400,000 ครัวเรือนทั่วประเทศ นอกจากนี้ ในมุมมองของตลาดโลก EnPAT ยังมีศักยภาพสูงในการผลักดันให้เป็นผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำที่ตอบโจทย์เป้าหมาย Net Zero ของประเทศ ซึ่งจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรไทยในเวทีสากล โดยมีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมใหม่นี้จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้สูงถึง 6,000 ล้านบาทต่อปี 

เมื่อขยับมาสู่จิ๊กซอว์ชิ้นกลางน้ำในภาคการผลิตและแปรรูป เสกสรร ครองพาณิชย์ กรรมการ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการบริหาร บริษัท พี.เอส.พี สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PSP ตัวแทนภาคเอกชนผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตน้ำมันหล่อลื่น กล่าวา สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้นวัตกรรมเกิดขึ้นจริงในเชิงพาณิชย์ได้คือ ความต้องการที่ชัดเจนจากภาครัฐ การที่การไฟฟ้านครหลวงรวมถึงหน่วยงานการไฟฟ้าอื่น ๆ นำร่องใช้งานจริง เปรียบเสมือนสัญญาณแห่งความเชื่อมั่นที่ทำให้ภาคเอกชนกล้าที่จะลงทุนพัฒนาโรงงาน ขยายกำลังการผลิต และวางรากฐานซัพพลายเชนอย่างเต็มที่ คุณเสกสรร ย้ำว่าการสนับสนุนนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงวัตถุดิบนำเข้า และสร้างความมั่นคงทางพลังงานด้วยทรัพยากรภายในประเทศเอง 

จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่ปลายน้ำคือผู้ผลิตอุปกรณ์และผู้ใช้งานจริง กวิน กิตติรัตนวิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายผลิต บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด พันธมิตรผู้ผลิตหม้อแปลงที่ร่วมเส้นทางนี้มาอย่างยาวนาน ได้กล่าวถึงความพร้อมในด้านฮาร์ดแวร์ว่า ทางบริษัทได้ร่วมสนับสนุนและพัฒนาการออกแบบหม้อแปลงให้รองรับน้ำมันชีวภาพชนิดนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์หม้อแปลงไฟฟ้าไทยจะสามารถทำงานร่วมกับ EnPAT ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและปลอดภัย ซึ่งเมื่อผนวกกับบทบาทของหน่วยงานผู้ใช้งานหลักอย่าง การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่พร้อมใจกันผลักดันให้เกิดการใช้งานจริง ก็จะทำให้วงจรเศรษฐกิจนี้หมุนเวียนได้อย่างสมบูรณ์ 

บทสรุปของจิ๊กซอว์เศรษฐกิจนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่การซื้อขายสินค้า แต่คือการสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมใหม่ หรือ New S-Curve ที่ยั่งยืน ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เชื่อมโยงรายได้จากยอดตึกสูงในมหานครกลับคืนสู่มือของเกษตรกรในท้องถิ่น และเปลี่ยนสถานะประเทศไทยจากผู้ซื้อเทคโนโลยีมาเป็นเจ้าของนวัตกรรมที่พร้อมส่งออกความมั่นคงทางพลังงานสู่สายตาชาวโลก 

อนาคตที่ยั่งยืนของทุกคน

เรื่องราวทั้งหมดนี้ไม่ได้จบลงเพียงแค่พิธีเปิดตัวโครงการนำร่อง แต่เปรียบเสมือนปฐมบทของการเดินทางสู่อนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนไทยทุกคน โดยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนจากการไฟฟ้านครหลวงระบุว่าจะไม่หยุดอยู่แค่พื้นที่นำร่องในเขตลาดกระบังเท่านั้น แต่มีแผนที่จะขยายผลการใช้งานหม้อแปลงไฟฟ้า EnPAT ให้ครอบคลุมทั่วทุกเขตพื้นที่รับผิดชอบ ทั้งกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ เพื่อยกระดับความปลอดภัยให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งมหานคร

อย่างไรก็ตาม การขยายผลดังกล่าวจะดำเนินไปภายใต้แนวคิดการมีส่วนร่วมของประชาชน รองศาสตราจารย์ ทวิดา เรียกว่าการเปิดพื้นที่เมืองให้เป็น City Lab หรือห้องปฏิบัติการเมือง โดยเน้นย้ำว่าก่อนจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน จะต้องมีการพูดคุยสื่อสารและตอบคำถามของประชาชนให้คลายกังวลก่อนเสมอ เพื่อให้เทคโนโลยีและวิถีชีวิตของผู้คนสามารถดำเนินไปควบคู่กันได้อย่างกลมกลืน 

นอกจากมิติของสังคมเมืองแล้ว นวัตกรรมนี้ยังเตรียมขยายขอบเขตไปสู่การใช้งานในรูปแบบอื่น ๆ ที่ท้าทายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการใช้งานในพื้นที่ที่มีความละเอียดอ่อนทางนิเวศวิทยา เช่น โซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ หรือโซลาร์เซลล์ลอยน้ำ ซึ่งจำเป็นต้องใช้น้ำมันหม้อแปลงที่มีความปลอดภัยสูงสุด หากเกิดเหตุรั่วไหลต้องไม่ทำลายแหล่งน้ำและสิ่งแวดล้อม คุณสมบัติที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพของ EnPAT จึงเข้ามาตอบโจทย์นี้ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งสอดรับกับนโยบายระดับชาติในการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG และเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2050 โดยมีการประเมินว่าหากประเทศไทยเปลี่ยนมาใช้น้ำมันหม้อแปลงชีวภาพทดแทนน้ำมันแร่ได้ทั้งหมด จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนและสนับสนุนเป้าหมายสิ่งแวดล้อมของประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ 

ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องราวของ EnPAT คือเครื่องพิสูจน์ศักยภาพของคนไทยในการเปลี่ยนผลผลิตทางการเกษตรให้กลายเป็นนวัตกรรมที่สร้างความมั่นคงทางพลังงาน โดยไม่ต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ เป็นการสร้างรายได้ที่ยั่งยืนกลับคืนสู่เกษตรกรชาวสวนปาล์มกว่าสี่แสนครัวเรือน และเปิดประตูสู่การสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่มีมูลค่าสูงให้กับประเทศ ความร่วมมือของทุกภาคส่วนในวันนี้จึงเป็นมากกว่าความสำเร็จทางวิชาการ แต่คือการวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง เพื่อส่งต่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าให้กับลูกหลานในอนาคต 

×

Share

ผู้เขียน