Share on
×

Share

ภารกิจ RUN: ปั้นวิจัย “กินได้” ปลดล็อกอาหารไทยสู่เวทีโลก

คำถามที่ว่า “เหตุใดอาหารไทยจึงยังไปไม่ถึงจุดสูงสุดในเวทีโลก?” และ “ทำไมประเทศไทยจึงยังคงติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลาง?” ทั้งที่เราเป็นประเทศเกษตรกรรมชั้นนำที่ส่งออกวัตถุดิบมหาศาล คำตอบของโจทย์ใหญ่นี้อาจไม่ได้อยู่ที่การขาดแคลนทรัพยากร แต่อยู่ที่ช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างองค์ความรู้ในรั้วมหาวิทยาลัยกับการนำไปใช้จริงในภาคอุตสาหกรรม

ภารกิจสำคัญนี้จึงตกเป็นของ RUN หรือ Research University Network ซึ่งเป็นเครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัยที่เกิดจากการรวมตัวของ 8 มหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำของไทย อันประกอบด้วย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยนเรศวร โดยมีเป้าหมายเพื่อทำหน้าที่เป็นคลังสมองและผู้ให้บริการโซลูชันแก่ประเทศ เปลี่ยนงานวิจัยจากที่เคยอยู่บนหิ้งให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้จริง หรือที่เรียกกันว่าจากหิ้งสู่ห้าง เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้ทัดเทียมนานาชาติ 

ทลายกำแพงภาษา จูนคลื่นความถี่ใหม่

รศ.ดร.ชาลีดา บรมพิชัยชาติกุล ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย (RUN Office) กล่าวว่า อุปสรรคด่านแรกที่ทำให้งานวิจัยไทยไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา คือเรื่องของการสื่อสารที่คลื่นความถี่ไม่ตรงกัน โดยสะท้อนภาพความเป็นจริงว่านักวิจัยมักคุยด้วยภาษาวิชาการที่มีความซับซ้อน เต็มไปด้วยสมการและตัวเลข ในขณะที่ผู้ประกอบการมักจะให้ความสำคัญกับเรื่องงบประมาณและความรวดเร็วเป็นหลัก เมื่อมุมมองและภาษาที่ใช้แตกต่างกัน ความร่วมมือจึงเกิดขึ้นได้ยาก หรือบางครั้งผู้ประกอบการมองว่านักวิจัยเป็นกลุ่มคนที่เข้าถึงยากและพูดคุยไม่รู้เรื่อง 

ทางออกของปัญหานี้ที่ทาง RUN นำมาใช้คือการสร้างเวทีการพูดคุยแบบเป็นกันเองที่เรียกว่า Friendly Talking ซึ่งไม่ใช่การขึ้นเวทีเพื่อนำเสนองานวิจัยทางวิชาการ แต่เป็นการเปิดโอกาสให้นักวิจัยและผู้ประกอบการได้มานั่งจับเข่าคุยกันแบบโต๊ะกลม เพื่อปรับจูนทัศนคติให้ตรงกัน นักวิจัยจำเป็นต้องเข้าใจว่าภาคธุรกิจนั้นรอไม่ได้และมีข้อจำกัดเรื่องต้นทุน ส่วนผู้ประกอบการก็ต้องเข้าใจว่างานวิจัยที่ลึกซึ้งเพื่อสร้างความแตกต่างให้สินค้านั้นต้องใช้เวลาในการศึกษาทดลอง ไม่ใช่การทำเพียงผิวเผิน การพูดคุยนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและนำไปสู่การพัฒนาโจทย์วิจัยร่วมกันที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างแท้จริง ทำให้ผู้ประกอบการกล้าที่จะเดินเข้ามาหามหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยก็พร้อมที่จะออกไปเยี่ยมเยียนโรงงานเพื่อดูปัญหาหน้างานจริง 

เปิดขุมทรัพย์ RUN Top 100 จากมังคุดสู่หนังเทียม

ความน่าสนใจของภารกิจนี้ยังอยู่ที่การเปิดตัว RUN Top 100 ซึ่งเป็นการระดมทัพนักวิจัยระดับหัวกะทิด้านอาหารกว่า 100 ชีวิต เข้ามาดูแลโจทย์ของผู้ประกอบการอย่างครบวงจร โดยได้แบ่งทัพงานวิจัยออกเป็น 6 กลุ่มยุทธศาสตร์ ตลอดห่วงโซ่อุปทานอาหาร (Whole Food Value Chain) ได้แก่

  • Advance Food Processing: กระบวนการแปรรูปอาหารขั้นสูง
  • Functional Food Production: การผลิตอาหารฟังก์ชันเพื่อสุขภาพ
  • Personalized Food: อาหารเฉพาะบุคคลที่ออกแบบตามพันธุกรรม
  • Functional Packaging Materials: บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะที่บ่งบอกคุณภาพอาหารได้
  • Creative Food Design: การออกแบบและสร้างสรรค์เรื่องราวให้อาหาร (Storytelling)
  • Alternative Protein: โปรตีนทางเลือกใหม่

ตัวอย่างความสำเร็จจากกลุ่มยุทธศาสตร์เหล่านี้ที่เห็นได้ชัดเจนคือ กรณีของ Creative Food Design ในสินค้าอย่าง “มังคุด” ซึ่งโจทย์ไม่ได้หยุดอยู่แค่การขายผลสด แต่เริ่มตั้งแต่วิธีการเก็บเกี่ยวอย่างไรให้สามารถส่งไปขายที่ญี่ปุ่นโดยคงความสดได้นานถึง 3 เดือน รวมถึงกระบวนการแปรรูปน้ำมังคุดไม่ให้เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเมื่อผ่านความร้อน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการใช้นักวิจัยด้านการออกแบบอาหารมาช่วยสร้างเรื่องราวหรือ Storytelling เพื่อเพิ่มมูลค่า โดยชูจุดเด่นความเป็นราชินีผลไม้ที่มีรากเหง้าทางวัฒนธรรม เป็นสินค้าออร์แกนิกจากธรรมชาติ เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งอย่างอินโดนีเซีย 

นอกจากมังคุดแล้ว ยังมีนวัตกรรมที่น่าจับตามองในกลุ่มอื่น ๆ อย่างการใช้เทคโนโลยีพลาสมาของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เข้ามากำจัดมอดในข้าวสาร ซึ่งเป็นเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาข้าวบรรจุถุงได้โดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี สร้างความมั่นใจให้กับทั้งโรงสีและผู้บริโภค หรือในด้านการแปรรูปของเหลือทิ้งให้มีมูลค่า ก็มีตัวอย่างจากนักวิจัยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และเครือข่าย ที่พัฒนาเส้นใยจากใบสับปะรดที่เหลือทิ้งจากการเกษตรให้กลายเป็นหนังเทียม หรือ Plant-based leather ตอบโจทย์เทรนด์แฟชั่นรักษ์โลกและจริยธรรมของตลาดยุโรปและอเมริกาที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ภาคเอกชนเพื่อการส่งออก อีกทั้งยังมีการนำงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวรที่เชี่ยวชาญเรื่องการสกัดกลิ่นหอม มาพัฒนาเป็นหัวน้ำหอมให้แบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำที่ดาราเลือกใช้ 

ในส่วนของนวัตกรรมแห่งอนาคตตามยุทธศาสตร์ Personalized Food และ Functional Packaging ทางเครือข่ายยังมีงานวิจัยที่ออกแบบอาหารโดยดูจาก DNA เพื่อการป้องกันโรค ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นยาที่ทานได้ เช่น การออกแบบอาหารสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นเบาหวาน รวมถึงการพัฒนาบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะที่สามารถบอกความสุกของผลไม้ เช่น การติดสติกเกอร์ที่บอกได้ว่าอะโวคาโดสุกพร้อมทานหรือยัง หรือแจ้งเตือนเมื่ออาหารเริ่มเสีย เพื่อช่วยลดปัญหาขยะอาหาร และในกลุ่ม Alternative Protein ก็มีการสกัดโปรตีนคุณภาพสูงจากข้าวเพื่อเป็นทางเลือกใหม่แทนการส่งออกข้าวราคาถูกแล้วนำเข้าโปรตีนเสริมราคาแพงกลับเข้ามา ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบพื้นถิ่นของไทย 

Talent Mobility ปลดล็อกนักวิจัยออกจากหอคอย

เพื่อให้ภาคเอกชนกล้าที่จะลงทุนในนวัตกรรมเหล่านี้ RUN และภาครัฐได้ออกแบบกลไกสนับสนุนที่ช่วยลดความเสี่ยง หนึ่งในนั้นคือโครงการ Talent Mobility ที่ปลดล็อกให้นักวิจัยระดับอาจารย์สามารถออกจากมหาวิทยาลัยไปทำงานในบริษัทเอกชนได้จริง โดยมีรูปแบบการทำงานเช่น การแบ่งเวลาทำงาน 5 วัน โดย 3 วันอยู่ที่มหาวิทยาลัย และอีก 2 วันเข้าไปฝังตัวทำงานในบริษัทเอกชน เพื่อเข้าไปแก้ปัญหาหน้างานโดยที่มหาวิทยาลัยยังคงจ่ายเงินเดือนให้ส่วนหนึ่งเสมือนว่าอาจารย์ทำงานเต็มเวลา และภาคเอกชนสามารถสมทบค่าตอบแทนเพิ่มเติมได้ โครงการนี้ช่วยให้อาจารย์ได้เข้าใจปัญหาหน้างานจริงและบริษัทก็ได้ผู้เชี่ยวชาญไปช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด

นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานกลางทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงทางธุรกิจหรือ Intermediary คอยวินิจฉัยและปรับทิศทางให้ผู้ประกอบการที่อาจจะกำลังหลงทาง เช่น การแนะนำให้ผู้ผลิตน้ำตาลปี๊บหันมาผลิตน้ำตาลปี๊บที่ไม่ให้พลังงานแทนการพยายามไปทำขนมขาย ซึ่งเป็นการใช้นวัตกรรมต่อยอดจากจุดแข็งเดิมที่มีอยู่ ไม่ใช่การกระโดดไปทำธุรกิจที่ไม่ถนัด โดยทั้งหมดนี้มีกลไกการจับคู่แหล่งทุนจากภาครัฐที่อาจช่วยออกค่าใช้จ่ายถึง 50 เปอร์เซ็นต์ และสิทธิประโยชน์จาก BOI เข้ามาช่วยลดภาระการลงทุนในช่วงเริ่มต้น

โมเดล RUN Plus ผนึกกำลังข้ามสายพันธุ์ ปูพรมงานวิจัยสู่ฐานราก

จุดเด่นสำคัญที่ทำให้เครือข่าย RUN แข็งแกร่งคือรูปแบบความร่วมมือที่ไร้รอยต่อระหว่างมหาวิทยาลัยสมาชิก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือการแบ่งปันทรัพยากรเครื่องมือขั้นสูงร่วมกัน เช่น หากผู้ประกอบการต้องการทดสอบผลิตภัณฑ์ด้วยกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยแรงดันสูง หรือ HPP (High Pressure Processing) แต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่มีเครื่องมือนี้ ก็สามารถส่งต่อไปใช้บริการที่มหาวิทยาลัยนเรศวรที่มีความพร้อมได้ทันที เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด

นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยทั้ง 8 แห่งยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นด้วยการลงขันงบประมาณร่วมกัน โดยหักจากทุนวิจัยประมาณ 2% เพื่อใช้เป็นกองทุนกลางในการบริหารจัดการและอำนวยความสะดวกให้เกิดการพบปะกันระหว่างนักวิจัยและผู้ประกอบการ โดยไม่ได้พึ่งพาแต่งบประมาณจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว 

ก้าวต่อไปที่ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญคือการขยายผลสู่โมเดล RUN Plus ซึ่งเป็นแนวคิดการขยายพันธมิตรให้กว้างขวางขึ้น โดยดึงศักยภาพของกลุ่มมหาวิทยาลัยที่มีความเชี่ยวชาญแตกต่างกันมาร่วมมือกัน โดยแบ่งบทบาทหน้าที่ออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ กลุ่มวิจัย ซึ่งคือสมาชิก RUN เดิมทั้ง 8 แห่ง ทำหน้าที่เป็นต้นน้ำในการผลิตองค์ความรู้และงานวิจัยพื้นฐานขั้นสูง ส่งไม้ต่อให้กับ กลุ่มเทคโนโลยี เช่น กลุ่มมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ที่ทำหน้าที่นำองค์ความรู้นั้นไปสร้างเป็นเครื่องมือ เครื่องจักร หรือเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการใช้งานจริงของผู้ประกอบการ และสุดท้ายคือ กลุ่มพื้นที่ เช่น กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ ซึ่งมีความใกล้ชิดกับชุมชน ทำหน้าที่นำเครื่องมือและเทคโนโลยีเหล่านั้นลงไปส่งเสริมและแก้ปัญหาให้กับผู้ประกอบการ SME ในท้องถิ่นที่ไม่สามารถเดินทางเข้ามายังส่วนกลางได้ 

เป้าหมายของ RUN Plus คือการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อให้เกิดการส่งต่องานวิจัยเป็นทอด ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่ต้นน้ำไปสู่ปลายน้ำ เพื่อบ่มเพาะ SME ให้เติบโตจนเข้มแข็งพอที่จะลงทุนวิจัยต่อยอดเองได้ หรือก้าวไปสู่ระดับนานาชาติ พร้อมกันนี้ RUN ยังได้ขยายความร่วมมือสู่ระดับสากล หรือ Global Connection กับประเทศชั้นนำอย่างสหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และสวีเดน เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย รวมถึงวางเป้าหมายในการเป็นพี่เลี้ยงด้านเทคโนโลยีอาหารให้กับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับภูมิภาคร่วมกัน 

ความสำเร็จของ RUN ในวันนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่ความสำเร็จทางวิชาการ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจไทย หากผู้ประกอบการไทยกล้าเปิดใจและนักวิจัยกล้าก้าวออกจากห้องปฏิบัติการ อาหารไทยจะไม่ใช่เพียงแค่อาหารที่อร่อยที่สุด แต่จะเป็นสินค้านวัตกรรมที่สร้างมูลค่ามหาศาลและพาประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางได้อย่างแท้จริง

×

Share

ผู้เขียน