Share on
×

Share

ทีดีอาร์ไอ ชูโมเดล 2041 ปลุก ‘เครื่องจักรใหม่’ พาไทยสู่ประเทศรายได้สูง

ทีดีอาร์ไอ ชูโมเดล 2041 ปลุก ‘เครื่องจักรใหม่’ พาไทยสู่ประเทศรายได้สูง

ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและปัญหาโครงสร้างภายในที่สะสมมายาวนาน ในงานสัมมนาวิชาการประจำปี 2567 ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ ได้นำเสนอบทวิเคราะห์และข้อเสนอแนะเชิงยุทธศาสตร์ภายใต้หัวข้อ “เครื่องจักรการเติบโตใหม่ในยุคโลกาภิวัตน์ย้อนกลับ” โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการ “จินตนาการใหม่” (Reimagination) เพื่อค้นหาแนวทางการเติบโตที่ยั่งยืน 

ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ การตั้งเป้าหมายนำพาประเทศไทยให้ก้าวพ้นจากสภาพการเติบโตต่ำ และยกระดับสู่การเป็น “ประเทศรายได้สูง” ภายในปี 2041 (พ.ศ. 2587) หรือในอีก 15 ปีข้างหน้า เป้าหมายนี้มิใช่เพียงการคาดการณ์เลื่อนลอย แต่มาจากการคำนวณศักยภาพใหม่ หากประเทศไทยสามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจจากรูปแบบเดิมที่พึ่งพาการอัดฉีดเม็ดเงิน มาสู่การสร้าง “เครื่องจักรการเติบโตใหม่” (New Growth Engines) ที่เน้นผลิตภาพและมูลค่าเพิ่ม 

สถานการณ์เปราะบาง: เมื่อเวียดนามอาจแซงหน้าและบทเรียนจาก “การบินไทย”

ข้อมูลบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราการเติบโตลดลงทุกครั้งที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ จากอดีตที่เคยขยายตัวในระดับร้อยละ 7 ลดลงเหลือร้อยละ 5 และปัจจุบันอยู่ที่ระดับต่ำกว่าร้อยละ 3 หากสถานการณ์ยังดำเนินไปในทิศทางนี้ คาดการณ์ว่าภายในปี 2043 (พ.ศ. 2586) ประเทศเวียดนามจะมีรายได้ต่อหัวสูงกว่าประเทศไทย และไทยอาจต้องใช้เวลาถึงปี 2070 กว่าจะก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง 

ดร.สมเกียรติ เปรียบเทียบโครงสร้างเศรษฐกิจไทยเสมือนเครื่องบินที่มี 4 เครื่องยนต์ ได้แก่ การบริโภค การลงทุนภาคเอกชน การใช้จ่ายภาครัฐ และการส่งออก ที่ผ่านมาภาครัฐมุ่งเน้นการกระตุ้นฝั่งการใช้จ่ายจนเกินกำลัง (Overload) ทั้งที่หนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูง ในขณะที่เครื่องยนต์ฝั่งการผลิต (ภาคเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ) กลับมีศักยภาพลดต่ำลง ดังนั้น แนวทางแก้ไขจึงไม่ใช่การอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่คือการปรับโครงสร้างภาคการผลิตให้แข็งแกร่ง เปรียบเสมือนการฟื้นฟูกิจการของ “การบินไทย” ที่ต้องแก้ปัญหาที่รากฐานการดำเนินงาน 

ความท้าทายจากบริบทโลก: “โลกาภิวัตน์ย้อนกลับ” และสินค้าจีน

การปรับตัวของไทยต้องเผชิญกับแรงเสียดทานจากบริบทโลกยุคใหม่ที่เรียกว่า “โลกาภิวัตน์ย้อนกลับ” (Deglobalization)ซึ่งมีลักษณะเด่นคือปริมาณการค้าโลกเติบโตช้ากว่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ปัจจัยกดดันมาจากสามทิศทางหลัก:

  1. ตลาดสหรัฐฯ: มีการตั้งกำแพงภาษีสูงขึ้นตามนโยบายคุ้มครองทางการค้า 
  2. ตลาดยุโรป: บังคับใช้มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด เช่น CBAM และ EUDR ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อสินค้าที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 
  3. ตลาดจีน: เกิดภาวะการผลิตล้นเกิน (Overcapacity) ในภาคอุตสาหกรรม ทำให้ดัชนีราคาผู้ผลิตของจีนลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง (อยู่ในโซนสีแดง) ส่งผลให้สินค้าจีนราคาถูกไหลทะลักเข้าสู่ตลาดไทยและตลาดโลก 

สถานการณ์นี้ทำให้โมเดลการพัฒนาแบบเดิมที่เน้นสร้างอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เพื่อแข่งขันด้านราคาเป็นไปได้ยาก ภาคอุตสาหกรรมไทยจึงจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ไปสู่การผลิตสินค้าคุณภาพสูง การสร้างแบรนด์ และการผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน เช่น เหล็กกล้าสีเขียว (Green Steel) ที่ผลิตโดยใช้ไฮโดรเจน หรืออุตสาหกรรม อาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งไทยก้าวขึ้นเป็นผู้ส่งออกอันดับ 2 ของโลก 

โอกาสใหม่ในภาคบริการ: จาก “กองถ่ายหนัง” สู่เศรษฐกิจฐานราก

ภายใต้ข้อจำกัดของภาคอุตสาหกรรม “เครื่องจักรใหม่” ที่มีศักยภาพสูงกลับปรากฏอยู่ใน ภาคบริการสมัยใหม่ (Modern Services) และการยกระดับภาคเกษตรกรรม

1. ศูนย์กลางการถ่ายทำภาพยนตร์และสื่อสร้างสรรค์ อุตสาหกรรมภาพยนตร์เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการสร้างงานที่มีคุณภาพ ข้อมูลในปี 2567 (นับถึงไตรมาส 3) ระบุว่ามีกองถ่ายทำภาพยนตร์และซีรีส์ต่างประเทศเข้ามาในไทยกว่า 450 เรื่อง สร้างรายได้เข้าประเทศประมาณ 7,000 ล้านบาท 

  • จุดเด่นเชิงโครงสร้าง: รายได้จากกองถ่ายภาพยนตร์กระจายลงสู่ระบบเศรษฐกิจไทยเกือบ 100% ครอบคลุมทั้งค่าจ้างทีมงานไทยหลายหมื่นคน ค่าเช่าสถานที่ ค่าที่พัก และค่าอาหาร ต่างจากการลงทุนตั้งโรงงานอุตสาหกรรมที่เม็ดเงินส่วนใหญ่มักไหลออกนอกประเทศผ่านการนำเข้าเครื่องจักร 
  • ตัวอย่างผลงาน: ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์และซีรีส์ชื่อดังที่เข้ามาถ่ายทำ เช่น Jurassic ParkWhite Lotus และ Alien: Earth ซึ่งเรื่องหลังนี้มีการลงทุนสูงถึง 2,800 ล้านบาท 

2. การยกระดับธุรกิจอาหารสู่บริการส่งออก (Tradable Services) ประเทศไทยมีความหนาแน่นของร้านอาหารต่อประชากรสูงและมีวัฒนธรรมอาหารที่แข็งแกร่ง เห็นได้จากการมีร้านอาหารระดับ “บิบ กูร์มองด์” ในมิชลินไกด์มากที่สุดในอาเซียน อย่างไรก็ตาม ไทยยังขาดการส่งเสริมให้ธุรกิจร้านอาหารขยายตัวไปต่างประเทศอย่างเป็นระบบ เมื่อเทียบกับสิงคโปร์ที่รัฐบาลสนับสนุนให้ผู้ประกอบการส่งออกโมเดลธุรกิจร้านอาหาร (เช่น Jumbo Seafood) ไปยังต่างประเทศ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนธุรกิจบริการในประเทศให้กลายเป็นสินค้าส่งออก 

3. เกษตรพรีเมียมและเกษตรแปรรูป แนวทางการพัฒนาภาคเกษตรต้องเปลี่ยนจากการ “ขังเกษตรกรไว้กับพืชผลราคาถูก” มาสู่การสร้างมูลค่าเพิ่ม 

  • โมเดลต้นแบบ: ญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในการสร้างมูลค่าสินค้าเกษตร เช่น เมล่อนชิซูโอกะ (ลูกละ 4,000 บาท) หรือ ไข่หอยเม่น (อูนิ) ฮอกไกโด 
  • โอกาสของไทย: ไทยมีศักยภาพในการทำเกษตรมูลค่าสูง เช่น คลัสเตอร์ไผ่แปรรูปที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสร้างรายได้ 100 ล้านบาทจากการจ้างงานเพียง 85 คน หรือการเลี้ยงปูทะเลที่ใช้แรงงาน 1,500 คน แต่สร้างมูลค่าได้ถึง 350 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าการปรับโครงสร้างการผลิตสามารถสร้างรายได้เทียบเท่าคนชั้นกลางให้แก่เกษตรกรได้ 

3 ภารกิจเร่งด่วนเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

เพื่อให้โมเดลเศรษฐกิจใหม่ขับเคลื่อนได้จริง จำเป็นต้องมีการปฏิรูปปัจจัยพื้นฐานใน 3 ด้านหลัก:

  1. ด้านแรงงาน (Manpower): ไทยกำลังเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงานจากสังคมสูงวัย จึงต้องมุ่งเน้นการเพิ่ม “แรงงานสุทธิ” โดยลดการสูญเสียที่ไม่จำเป็น เช่น การลดอุบัติเหตุบนท้องถนนที่คร่าชีวิตคนปีละ 20,000 คน และการลดผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 รวมถึงการดึงดูดแรงงานกลุ่มสตรีและผู้สูงอายุให้กลับเข้าสู่ระบบ และการยกระดับคุณภาพการศึกษา 
  2. ด้านการลงทุน (Investment): ภาครัฐควรปรับเปลี่ยนวิธีการดึงดูดการลงทุนจากการใช้มาตรการทางภาษี เป็นการปรับปรุงกฎระเบียบ (Regulatory Guillotine) เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ (Ease of doing business) และสร้างกลไกเชื่อมโยงการลงทุนต่างประเทศ (FDI) ให้เข้ากับห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการจ้างงานที่แท้จริง 
  3. ด้านผลิตภาพ (Productivity): เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการยกระดับการเติบโต โดยเสนอให้เปิดเสรีการค้าเพื่อลดการบิดเบือนการจัดสรรทรัพยากร ส่งเสริมการแข่งขัน และสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในเชิงพาณิชย์ 

สู่เป้าหมายประเทศรายได้สูงในปี 2041

จากการประเมินของทีดีอาร์ไอ หากประเทศไทยสามารถดำเนินการตามแนวทางการปฏิรูปทั้ง 3 ด้าน จะช่วยเพิ่มศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ดังนี้

  • การเพิ่มปริมาณและคุณภาพแรงงานสุทธิ: เพิ่มการเติบโต 0.55% 
  • การเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุน: เพิ่มการเติบโต 0.43% 
  • การเพิ่มผลิตภาพ (Productivity): เพิ่มการเติบโต 1.4% 

เมื่อรวมกับฐานการเติบโตเดิมที่ร้อยละ 2.3 จะทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ถึงร้อยละ 4.7 ต่อปี ซึ่งเพียงพอที่จะนำพาประเทศให้หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางภายในปี 2041 หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้คือการสร้าง “งานที่ดี” (Good Jobs) ที่มีความมั่นคง รายได้ดี และสวัสดิการที่เหมาะสม ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนในระยะยาว 

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Premiumization: สร้าง ‘คุณค่า’ ให้เหนือ ‘ราคา’ ด้วย Mindset และเทคโนโลยี

‘EnPAT’ นวัตกรรมปาล์มไทย เกราะกันเพลิงหม้อแปลง

×

Share

ผู้เขียน