Share on
×

Share

4 ซีอีโอถอดบทเรียน ‘การปรับตัว’ สู้พายุเศรษฐกิจโลก ชู ‘ความร่วมมือ-นวัตกรรม’

4 ซีอีโอถอดบทเรียน 'การปรับตัว' สู้พายุเศรษฐกิจโลก ชู 'ความร่วมมือ-นวัตกรรม'

บนเวที CEO Panel ในงานมหกรรมด้านความยั่งยืน Sustainability Expo 2025 (SX2025) ผู้บริหารระดับสูงจาก 4 บริษัทชั้นนำของไทย ได้ร่วมกันถอดบทเรียนและให้ข้อเสนอแนะถึงแนวทางการปรับตัวขององค์กรทุกระดับ เพื่อเอาตัวรอดจากมหาพายุเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนที่โลกกำลังเผชิญ

CP มองวิกฤติเป็นโอกาส: เร่ง AI และ Green Financing

ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ชี้ว่า การปรับตัวของสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก คือ สหรัฐอเมริกาและจีน ทำให้ระบบซัพพลายเชนของโลกเปลี่ยนไป และประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งการนำเข้า-ส่งออก แต่เราก็มองวิกฤติให้เป็นโอกาสได้ เพราะการที่อเมริกาทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) โดยใช้นโยบายคุ้มครองทางการค้า (Protectionism) เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ ทำให้จีนปรับนโยบายมาเน้นโลกาภิวัฒน์ด้วยการผลักดันทุนออกนอกประเทศ ซึ่งไทยก็ได้อานิสงส์จากการที่บริษัทต่างชาติรวมทั้งจีน ย้ายฐานการผลิตมาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมของไทยมากขึ้น ผู้ประกอบการที่เข้ามาลงทุนล้วนมีเป้าหมายด้านความยั่งยืน

คุณศุภชัยเสนอแนะว่า ภาครัฐควรตั้งกองทุนและสร้างแรงจูงใจให้ไทยเป็น ศูนย์กลางการกระจายทุนสีเขียว (Green Financing) และช่วย SME ไทยปรับตัวสู่ธุรกิจสีเขียว ด้วยการลงทุนอัปเกรดโรงงานให้ได้มาตรฐานใหม่

ในมิติขององค์กร คุณศุภชัยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเร่งปรับตัวด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะการเข้าถึง AI และการทำให้ โรงงานฉลาดขึ้น (Smart Factory) พร้อมแนะนำให้องค์กรขนาดใหญ่และเล็กต้อง “กลับเข้าห้องเรียน” (Back to School) คือการสร้างห้องทดลองขนาดเล็กและเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้ทดลองสิ่งใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงสร้างความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการต่างประเทศ

“วันนี้เราต้องกลับไปเรียนใหม่ เพราะความคิดและวิธีการล้าสมัยแล้ว… ธุรกิจควรสร้างแรงจูงใจเพื่อผลักดันให้คนรุ่นใหม่มาเรียนรู้ ค้นคว้าวิจัย และพัฒนาเชิงปฏิบัติ”

Thai Union: ทำความเข้าใจโลกไร้กติกา และเพิ่มความยืดหยุ่น

ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า ในซัพพลายเชน ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจบริบทของสถานการณ์โลก ซึ่งการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ถือเป็นผลกระทบที่หนักที่สุด และเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อน ดังนั้น ซัพพลายเชนก็ต้องกลับมาคิดกันว่า เราจะอยู่อย่างไร หากเกิดสถานการณ์แบบนี้อีก เพราะการค้าโลกได้เปลี่ยนแปลงจากการมีกติกาเป็นไม่มีกติกาไปแล้ว

“ผมอยู่ในธุรกิจอาหารทะเล โดย 90% เป็นตลาดต่างประเทศ และรายได้ 40% มาจากตลาดอเมริกา 30% อยู่ที่ยุโรป โดย 5 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจของไทยยูเนี่ยนต้องเจอมรสุมค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ดอกเบี้ยสูง ภาวะเงินเฟ้อ สงครามรัสเซีย-ยูเครน มาจนกระทั่งการขึ้นภาษีนำเข้าของอเมริกา ทำให้ผมได้เข้าใจและตระหนักถึงโลกธุรกิจมากขึ้น และทำให้รู้ว่า ประสบการณ์ทำงาน 37 ปีที่ผ่านมา แทบจะใช้ไม่ได้เลย เพราะวันนี้เราอยู่ในโลกที่เป็นเรื่องใหม่”

คุณธีรพงศ์กล่าวว่า องค์กรต้องได้รับ “Wake-up Call ครั้งใหญ่” และต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันอีกในอนาคต โดยหลัก ๆ คือ:

  • ทบทวนการทำงานภายในทั้งหมด: เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง
  • สร้างความยืดหยุ่นและคล่องตัว: ตัดสินใจปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่เพื่อให้ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนให้ทันสถานการณ์โลกได้ตลอดเวลา
  • สร้างบุคลากรและใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่: เพื่อหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น

SCG: ดีไซน์ซัพพลายเชนให้ยืดหยุ่น รับมือนโยบายไม่แน่นอน

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เตือนว่า องค์กรธุรกิจต้องเตรียมพร้อมรับมือนโยบายที่ไม่แน่นอน เช่น นโยบายทรัมป์ที่วันนี้เก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 40% แต่อีก 3 เดือนข้างหน้า อาจจะเพิ่มเป็น 60% ก็ได้ ฉะนั้น การดีไซน์ซัพพลายเชนจะต้องให้มีความยืดหยุ่น เผื่อเหลือเผื่อขาด เพราะเราไม่สามารถปรับตัวได้ภายใน 3 เดือน  ถ้าจะอยู่รอดในระยะยาว ซัพพลายเชนต้องเร่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ควบคู่ไปกับความคล่องตัว ถ้าเรามีซัพพลายเชนที่เข้มแข็งในหลาย ๆ จุด และสามารถร่วมมือกันได้ เราก็สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายซัพพลายเชนกันได้เร็วขึ้นและง่ายขึ้น  

คุณธรรมศักดิ์เน้นย้ำว่า การดีไซน์ซัพพลายเชนจะต้องมีความยืดหยุ่น (Flexible) และเผื่อเหลือเผื่อขาด เพราะไม่สามารถปรับตัวได้ทันภายในระยะเวลาสั้นๆ โดยเน้นให้เครือข่ายธุรกิจห่วงโซ่อุปทานแห่งประเทศไทย (TSCN) ต้องร่วมมือกันและช่วยกันเปลี่ยนผ่านไปสู่ Green Supply Chain ผ่านการแชร์ข้อมูลที่ทำสำเร็จและไม่สำเร็จ

“เราต้องเร่งทรานสฟอร์มองค์กรให้เร็วที่สุด เพราะความไม่แน่นอน และพายุซัดเข้ามาเป็นระลอก ๆ… เราต้องเข้มแข็ง ยืดหยุ่น และปูทางไปสู่ New Engine ของเรา” พร้อมยืนยันว่าธุรกิจที่ไม่รอดหรือไม่มีศักยภาพแข่งขันในระยะยาว เอสซีจีพร้อมที่จะปิดเพื่อไปต่อในธุรกิจที่ใช่

ThaiBev: กล้าตัดสินใจอย่างรวดเร็ว และสร้าง Consortium

ด้าน ฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานอำนวยการจัดงาน SX2025 และ CEO บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ชี้ว่า วันนี้โลกเปลี่ยนจริง ๆ ผู้ประกอบการธุรกิจต้องคุยกันให้เยอะ ปรับตัวให้เยอะ เราจะปรับตัวอย่างไร เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันให้มากขึ้น ซึ่งเป้าหมายด้านความยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ ข้อ 17: Partnerships for the Goals ยังเป็นหนึ่งในหัวข้อหลักที่อยากให้ทุกภาคส่วนทำงานร่วมกัน

ขณะที่ปัญหาและความท้าทายที่ประดังเข้ามา ทำให้องค์กรต้องเข้าใจบริบทของสิ่งที่อยู่รอบตัวให้ครบถ้วน แต่ยอมรับว่าเป็นเรื่องยาก สิ่งที่เคยเป็นจุดแข็งอาจกลายเป็น “ขยับช้า” ในวันนี้

คุณฐาปนเน้นว่า ผู้บริหารต้อง “ตัดสินใจให้ดีและรวดเร็ว (Make good decision quickly)” และกล้าที่จะปรับเปลี่ยนภายใต้ผลกระทบที่ยอมรับได้

สิ่งสำคัญที่สุด คือการรวมพลังและความร่วมมือ โดยเฉพาะ:

  • การจับคู่ธุรกิจ/สร้าง Consortium: ผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมคล้ายคลึงกันควรคุยกันมากขึ้น ไม่ใช่เพียงแข่งขันกันเอง เพื่อรวมตัวกันไปขายสินค้าในตลาดใหม่ๆ เนื่องจากขณะนี้ไทยยังมีกำลังการผลิตที่เหลืออยู่
  • ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยควรเซ็น MOU ร่วมกันเองมากขึ้น เพื่อสร้างความร่วมมือในการพัฒนาเชิงปฏิบัติ
  • การแก้ปัญหาเป็นรายอุตสาหกรรม: ต้องเปลี่ยนจากการมองการแก้ปัญหาการค้าการลงทุนเป็นรายพื้นที่ มาเป็นรายอุตสาหกรรมหลัก เพื่อเสริมสร้างโอกาสและให้เกิดมิติการพัฒนาที่ก้าวหน้าขึ้น

คุณฐาปน กล่าวทิ้งท้ายในหลักคิดของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยน้อมนำพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ในบทพระราชนิพนธ์พระมหาชนก ที่ว่า จงมีความเพียรอันบริสุทธิ์ ปัญญาที่เฉียบแหลม และกำลังกายที่สมบูรณ์ที่เอื้ออำนวยในการทำประโยชน์ต่าง ๆ ซึ่งหลัก 3 ประการนี้ จะนำพาความก้าวหน้า ความเจริญ กลับมาสู่ทุกคนตามที่ปรารถนาได้

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Scent Marketing กับกลยุทธ์การตลาดผ่าน ‘กลิ่น’

Warrix: เรื่องราวจากศูนย์สู่ 1,500 ล้าน กับแนวคิดที่ท้าทายตำราธุรกิจ

เปลี่ยน ‘ขยะไร้ค่า’ สู่ ‘รายได้ใหม่’ โมเดลสถานีขยะรีไซเคิลที่มาบยางพร

×

Share

ผู้เขียน