สถานการณ์น้ำหนักเกินเกณฑ์ในเด็กนักเรียน กลายเป็นวาระเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข เมื่อโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครพบว่า จากการวัดน้ำหนักและส่วนสูงของนักเรียนประมาณ 220,000 คน มีเด็กที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์สูงถึง 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่าการออกกำลังกายในชั่วโมงพละ หรือการจัดกีฬาสีเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป
นี่คือจุดเริ่มต้นของการผนึกกำลังครั้งสำคัญระหว่าง กรุงเทพมหานคร (กทม.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ Nudge Thailand เพื่อเปิดตัวหลักสูตร “อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน” ซึ่งจะเริ่มใช้ในภาคการศึกษาที่ 2 ของปีการศึกษานี้

หลักสูตร “อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน” คือผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและเป็นหัวใจสำคัญของความพยายามในการจัดการโรคอ้วนในเด็กนักเรียน กทม. ภายใต้โครงการ “Cities for Better Health” โดยมี สสส. และ Nudge Thailand เข้ามาเป็นพันธมิตรเชิงเทคนิคในการพัฒนาเนื้อหาหลักสูตร ร่วมกับ กทม. และ โนโว นอร์ดิสค์
หัวใจสำคัญของหลักสูตรนี้ ไม่ใช่การห้าม แต่คือการปรับเปลี่ยนวิธีคิดและพฤติกรรมอย่างยั่งยืน
–กทม. ผนึก เดนมาร์ก-โนโว นอร์ดิสค์ แก้ NCDs คนกรุง หลังสถิติโรคอ้วนพุ่ง 56.4%
จาก “ความรู้” สู่ “พฤติกรรม” ที่ทำได้จริง
ปัญหาที่ผ่านมาคือ เด็กอาจมีความรู้ แต่ไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง หลักสูตรใหม่นี้จึงมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมเป็นหลัก
ดร.บุษราคัม ศรีจันทร์ หัวหน้ากลุ่มงานนิเทศการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานและการจัดการเรียนรู้ กรุงเทพมหานครระบุว่า เป้าหมายคือการปรับวิธีคิดของเด็ก ตัวอย่างเช่น แทนที่จะบอกเด็กว่า ห้ามกิน ขนมซอง หลักสูตรจะสอนให้เด็กวิเคราะห์แคลอรี่หลังซอง แล้วรู้จักแบ่งทาน เช่น หากขนมหนึ่งซองมีแคลอรี่สูง ก็ควรแบ่งทาน 3-4 วัน แทนที่จะทานหมดในครั้งเดียว
สอดคล้องกับ ภานุวัฒน์ สัจจะวิริยะ กุลผู้ร่วมก่อตั้ง Nudge Thailand ที่เสริมว่า หน้าที่ของพวกเขาคือการช่วยเปลี่ยนความรู้ให้กลายเป็นพฤติกรรม เช่น หากเด็กอยากทานของอร่อย ก็อาจแนะนำให้ กินน้อยลง และ แบ่งเพื่อน ซึ่งนอกจากจะลดปริมาณการบริโภคแล้ว ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนด้วย
ทลายกำแพง “โรงเรียน” สู่ “ตู้เย็นที่บ้าน”
ความท้าทายใหญ่หลวงที่ ดร.ดนัย หวังบุญชัย ผู้จัดการแผนงานสื่อศิลปวัฒธรรมสร้างเสริมสุขภาพ สสส. ระบุจากการทำงานโครงการนี้มากว่า 8 ปี คือ เด็กทำได้ดีที่โรงเรียน แต่พอปิดเทอมกลับไปบ้าน น้ำหนักก็กลับมาเหมือนเดิม
“โครงการเราปีที่ 1 ปีที่ 2 ประสบความสำเร็จในโรงเรียนสูงมาก แต่พอเด็กปิดเทอมกลับไปที่บ้าน คุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครอง เราก็เลยมีกระบวนการใหม่” ดร.ดนัย กล่าว
ปัญหาคือ โรงเรียนควบคุมอาหารได้เพียง 1 มื้อ (มื้อกลางวัน) แต่อีก 2 มื้ออยู่ที่บ้าน หลักสูตรใหม่นี้จึงออกแบบกิจกรรมที่เชื่อมโยงบ้านและโรงเรียนเข้าด้วยกันอย่างเข้มข้น
ทั้ง สสส. และ กทม. มีกิจกรรมไฮไลต์ร่วมกันคือ “สำรวจตู้เย็น” หรือ “คุณครูตู้เย็น” โดยให้เด็กกลับไปสำรวจตู้เย็นที่บ้านร่วมกับผู้ปกครอง เพื่อวิเคราะห์ว่ามีอะไรที่จำเป็นต่อสุขภาพบ้าง แล้วบันทึกลงในสมุดสุขภาพ จากนั้นผู้ปกครองจะถูกเชิญให้มาแบ่งปัน “เมนูชูสุขภาพ” ที่ลูกชอบและมีประโยชน์ที่โรงเรียนด้วย
ภานุวัฒน์ ขยายความว่า นี่คือการเปลี่ยนเด็กให้เป็นผู้สื่อสารสุขภาพกับผู้ปกครอง เช่น ให้เด็กมีส่วนร่วมในการวัดความเค็มหรือความหวานของอาหารที่บ้าน เพื่อสร้างการตระหนักรู้ร่วมกันทั้งครอบครัว
ปั้น “เด็กจังนำ” สู่ “Change Agent” ชุมชน
ในโรงเรียน หลักสูตรนี้จะถูกบูรณาการเข้าไปใน 7-8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ เพื่อทำให้การเรียนรู้เรื่องสุขภาพเป็นเรื่องสนุก ไม่น่าเบื่อ โดยมีกลุ่มสาระสุขศึกษาและพลศึกษา เป็นตัวเอกในการประเมินผลลัพธ์ทั้งก่อนและหลัง
ดร. ดนัย (สสส.) เน้นย้ำการปั้น “เด็กจังนำ” (เด็กแกนนำ) ให้เด็กพูดภาษาเด็กกันเอง เช่น การนำเสนอเมนูชูสุขภาพโดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่น หรือการประดิษฐ์อุปกรณ์ออกกำลังกายจากวัสดุเหลือใช้
ขณะที่ ดร.บุษราคัม กล่าวถึงกระบวนการถอดบทเรียนที่เน้น Active Learning เช่น กิจกรรม “เมนูชูสุขภาพ” ที่เด็กต้องรวมกลุ่มกันคิดเมนู ออกแบบจานอาหาร คำนวณแคลอรี่ และนำเสนอประโยชน์ต่อร่างกาย
วิสัยทัศน์ของโครงการนี้ไม่ได้หยุดแค่ตัวเด็กและครอบครัว แต่ตั้งเป้าให้เด็กมัธยมสามารถขยายผลเป็น “Change Agent” สู่ชุมชนได้ เช่น การไปให้ความรู้ผู้สูงอายุในชุมชนเรื่องโภชนาการ หรือการช่วยปรับสูตรอาหาร
เป้าหมายสูงสุดคือการสร้างผลกระทบเชิงบวกไปยังสภาพแวดล้อมรอบโรงเรียน แม้จะไม่สามารถบังคับร้านค้าได้ แต่สามารถให้ความรู้ผู้ประกอบการร้านอาหารรอบโรงเรียน เช่น การปิ้งหมูอย่างไรให้ไหม้น้อยลงเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นของทุกคน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
วิกฤติเด็กไทยอ้วน! ครองแชมป์อันดับ 1 อาเซียน
‘ขาดทุนคือกำไร’ คืออะไร? ปรัชญา ‘ประโยชน์สุข’ ที่นักพัฒนารุ่นใหม่ต้องเข้าใจ




