Share on
×

Share

หนี้ครัวเรือนพัง! บีบคนไทยเกษียณ 70 ปี เหตุผลลึกจาก ‘กู้เพื่อไลฟ์สไตล์’

หนี้ครัวเรือนพัง! บีบคนไทยเกษียณ 70 ปี เหตุผลลึกจาก 'กู้เพื่อไลฟ์สไตล์'

ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ร่วมกับ Boston Consulting Group (BCG) เผยผลการศึกษาความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอาเซียน ประจำปี 2568 ASEAN Consumer Sentiment Study (ACSS 2568) ที่ชี้ให้เห็นถึงความขัดแย้งเชิงพฤติกรรมทางการเงินของคนไทย ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างที่ซ้ำเติมด้วยปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงสุดในอาเซียน

ข้อมูลระบุชัดว่า 67% ของความมั่งคั่งทั้งหมดในประเทศ กระจุกตัวอยู่ในประชากรเพียง 10% ส่งผลให้อัตราหนี้ครัวเรือนต่อ GDP พุ่งสูงกว่า 80% ซึ่งสูงสุดในภูมิภาค ความน่ากังวลอยู่ที่ชุดความคิดของผู้บริโภค ที่พร้อมจะก่อหนี้เพื่อยกระดับไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะ 25% ที่พร้อมกู้เพื่อซื้อสิ่งที่ “อยากได้” ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้คนไทยกว่าครึ่ง ต้องวางแผนทำงานไปจนถึงอายุ 66-70 ปี เพื่อให้รายได้หลังเกษียณเพียงพอ

ฐานรากเศรษฐกิจไทย: ความยืดหยุ่นที่ซ่อนความเหลื่อมล้ำและอัตราเติบโตต่ำสุด

จอห์น วากเนอร์ กรรมการผู้จัดการ และพาร์ทเนอร์ บีซีจี ประเทศไทย นำเสนอภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคที่น่าสนใจ โดยระบุว่า ไทยเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองในอาเซียน แต่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP Growth) อยู่ในระดับต่ำที่สุดในภูมิภาคอาเซียนมาเป็นเวลา 10 ปี โดยแนวโน้มที่ดีที่สุดคาดว่าจะคงที่อยู่ที่ประมาณ 3% ซึ่งยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ

จอห์น ชี้ว่า แม้กระนั้น เศรษฐกิจไทยกลับมีคุณลักษณะเฉพาะคือ ความยืดหยุ่น (Resilience) จนถูกมองว่า มีความเสี่ยงทางเศรษฐกิจต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนและจีน โดย BCG ใช้คำว่ามี “เสถียรภาพในความไม่เสถียร” (stability in that instability) เนื่องจากความผันผวนทางการเมือง ถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติในประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม ความยืดหยุ่นนี้ ตั้งอยู่บนฐานความไม่เท่าเทียมของความมั่งคั่งที่สูงที่สุดในอาเซียน โดย 67% ของความมั่งคั่งของประเทศกระจุกตัวอยู่ในประชากรเพียง 10% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงจนน่าตกใจและใกล้เคียงกับสหรัฐอเมริกา การเติบโตที่ต่ำมายาวนานร่วมกับความเหลื่อมล้ำระดับสูงเช่นนี้ ย่อมชี้ให้เห็นว่าประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้กระจายไปถึงคนส่วนใหญ่ และอาจเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ฐานรากเศรษฐกิจโดยรวมยังคงเปราะบางและขาดกำลังซื้อในระยะยาว

วิกฤตหนี้ครัวเรือนสูงสุดในอาเซียน: รากเหง้าจากชุดความคิด ‘อยากได้’ ไม่ใช่ ‘จำเป็น’

อัตราส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยที่สูงกว่า 80% หรืออยู่ในช่วง 90% ซึ่งถือเป็นอัตราสูงสุดในภูมิภาคอาเซียน ถูกระบุว่าเป็นวิกฤติ ที่ส่วนหนึ่งเกิดจากชุดความคิดของผู้บริโภคที่ต้องการซื้อสิ่งที่ “อยากได้” (want) ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น (need)

จอห์น ชี้ว่า ชุดความคิดนี้ผลักดันให้ผู้บริโภคถึง 66% พร้อมจะกู้ยืมเงินเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินส่วนตัว และมีถึง 25% เต็มใจจะกู้ยืมเงินเพื่อยกระดับไลฟ์สไตล์ของตนเอง

ข้อมูลที่สอดคล้องกันจาก ยุทธชัย เตยะราชกุล กรรมการผู้จัดการบุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เผยว่า ผู้บริโภคถึง 75% มีสินเชื่อโดยเฉลี่ย 2.3 รายการ โดยสินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิตเป็นประเภทหลัก

ข้อโต้แย้งที่ต้องยกขึ้นมาคือ การโทษที่ชุดความคิดของผู้บริโภคเพียงอย่างเดียว อาจเป็นการมองข้ามบทบาทของระบบการเงินที่เข้าถึงง่าย และการตลาดที่กระตุ้นการบริโภคหรือไม่ และสิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ การกู้ยืมจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ เช่น เพื่อนหรือครอบครัว ที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจาก 6% เป็น 12% ซึ่งบ่งชี้อย่างชัดเจนว่าผู้บริโภคที่มีหนี้เสียสูงหรือมีเครดิตไม่ดีจำนวนหนึ่ง อาจไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้แล้ว ทำให้ต้องหันไปพึ่งพาหนี้นอกระบบหรือแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนสูงกว่า ซึ่งจะยิ่งเร่งวิกฤตหนี้ให้รุนแรงขึ้น

ความขัดแย้งเชิงพฤติกรรม: “รู้แต่ไม่ทำ” ภายใต้แรงกดดันและการเปรียบเทียบทางสังคม

ปัญหาหลักที่รายงานเน้นย้ำคือ ความไม่สอดคล้อง (discrepancy) ระหว่างสิ่งที่ผู้บริโภครู้ว่าควรทำ กับพฤติกรรมที่แสดงออก คุณจอห์น ระบุว่า แม้ผู้บริโภคไทยถึง 90% มั่นใจว่าตนเองมีข้อมูลที่จำเป็นในการจัดการการเงินส่วนบุคคล แต่กลับมีเพียง 39% เท่านั้นที่รู้สึกมั่นใจในสถานการณ์ทางการเงินของตนเองอย่างแท้จริง

คุณยุทธชัย ให้รายละเอียดที่สนับสนุนความขัดแย้งนี้ โดยชี้ไปที่แรงกดดันทางสังคม ที่มีผลสูงต่อกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ที่ต้องเผชิญกับการเปรียบเทียบการใช้จ่าย ทำให้แม้มีเงินน้อย แต่ก็มีความต้องการอยากมีเหมือนเพื่อนที่ใช้ของฟุ่มเฟือย

แง่มุมทางเลือกที่ต้องพิจารณา คือ พฤติกรรมนี้อาจเป็นผลมาจากความรู้สึกถึงความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจในอนาคต ทำให้เกิดการตัดสินใจที่จะ “บริโภคปัจจุบันให้คุ้มค่า” ก่อนที่จะไม่มีโอกาสหรือไม่ แรงกดดันทางสังคมและปัญหาทางการเงินส่งผลให้ผู้คนส่วนใหญ่ประมาณ 60% ถึง 70% กำลังประสบปัญหาทางการเงินและขาดความมั่นคงทางการเงินอย่างเพียงพอ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการให้ข้อมูลความรู้ เพียงอย่างเดียวไม่สามารถเอาชนะแรงกดดันทางสังคมและเศรษฐกิจได้

พฤติกรรมการใช้จ่ายที่เปลี่ยนไป: “ประสบการณ์ชนะสินค้า” และกลไก “หมุนเงิน” ของคนรุ่นใหม่

ท่ามกลางความกังวลทางเศรษฐกิจ พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวไทยได้เปลี่ยนทิศทางอย่างชัดเจน โดยพบว่าค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและสินค้าฟุ่มเฟือย (Luxury Retail) มีแนวโน้มติดลบประมาณเกือบ 10% ในทางตรงกันข้าม การใช้จ่ายเชิงประสบการณ์ (Experiential Spending) ได้เติบโตแบบ Double Digit โดยเฉพาะกลุ่มกำลังซื้อสูง (Affluent) และกลุ่ม Gen Y/Gen Z อย่างไรก็ตาม วิกฤตหนี้สินในกลุ่มคนรุ่นใหม่ยังคงเป็นปัญหาใหญ่

คุณยุทธชัย เปิดเผยว่า Gen Z มีอัตราการเพิ่มขึ้นของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) สูงสุด และแสดงพฤติกรรม “หมุนเงิน” โดยมีสัดส่วนการใช้เงินสด (Cash withdrawable) ค่อนข้างสูง ซึ่งส่วนหนึ่งของการกดเงินสดนั้นถูกใช้เพื่อจ่ายหนี้ของบัตรเครดิตตัวเองในเดือนที่แล้ว นอกจากนี้ Gen Z ยังมีแนวโน้มที่จะชำระหนี้ล่าช้า (delinquent) และยอมจ่ายดอกเบี้ยหรือค่าปรับ การตรวจสอบตรรกะคือพฤติกรรมการหมุนเงินนี้เป็นกลไกการเอาตัวรอดของผู้ที่มีรายได้ไม่สม่ำเสมอหรือไม่

แนวโน้มการวางแผนการเงิน 4 ด้าน: การตื่นตัวที่ไม่อาจหยุดยั้งการเกษียณล่าช้า

ยุทธชัย เตยะราชกุล กรรมการผู้จัดการบุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย

รายงานนี้ยังนำเสนอการเปลี่ยนแปลงใน 4 เสาหลักของการจัดการการเงินของผู้บริโภคชาวไทย โดยระบุว่ามีความตื่นตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง:

  1. ด้านการออม (Saving): คนไทย 74% ออมเกิน 10% ของรายได้ต่อเดือน โดยกลุ่ม Gen Z (18-25 ปี) มีการเปิดบัญชีเงินฝากเพิ่มขึ้นสูงสุดเกือบ 50% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แม้ว่ายอดเงินฝากต่อบัญชีจะยังน้อย
  2. การป้องกัน (Protection): ผู้บริโภคตระหนักถึงความจำเป็นในการมีแผนประกันมากขึ้น โดยประกันสุขภาพ (Health Insurance) มีอัตราการเติบโตสูงสุดถึง 40% Year-on-Year และเบี้ยประกันโดยรวมเพิ่มขึ้น 23%
  3. ด้านการลงทุน (Investment): กลุ่มผู้บริโภคทั่วไป (General Consumers) มีอัตราการเติบโตของการลงทุนสูงถึง 15% ซึ่งสูงกว่ากลุ่ม Affluent และมูลค่าการลงทุนต่อรายการเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจาก 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท ช่องทางออนไลน์เป็นที่นิยมที่สุด โดย Gen Y มีสัดส่วน 50% ของลูกค้าที่ทำธุรกรรมออนไลน์เพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นวัยที่เริ่มมีรายได้มั่นคง
  4. ด้านการวางแผนเกษียณ (Planning): เป็นเสาหลักที่น่ากังวลที่สุด คนไทยเกิน 50% รู้สึกว่าต้องทำงานนานขึ้น โดยมีแนวโน้มที่จะทำงานไปจนถึง 66-70 ปี หรือนานที่สุดเท่าที่ทำได้ เนื่องจากกังวลว่ารายได้หลังเกษียณจะไม่เพียงพอ ปัญหาพื้นฐานที่ทำให้การวางแผนชะงักคือ ผู้คน 30% ยังไม่วางแผนเกษียณ โดยมีสาเหตุหลักคือ เงินออมไม่เพียงพอ และความรู้สึกว่ายังอายุยังน้อยจึงเน้นการบริโภคก่อน ซึ่งเป็นชุดความคิดที่นำไปสู่วิกฤตหนี้ครัวเรือนสูง

บทสรุปและทางออก: จัดการ “ทัศนคติการใช้เงิน” ควบคู่กับวินัยการเงินเชิงรุก

ยุทธชัย เตยะราชกุล กรรมการผู้จัดการบุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย
ยุทธชัย เตยะราชกุล กรรมการผู้จัดการบุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย

คุณยุทธชัย สรุปว่า แม้จะมีความตื่นตัวในการวางแผนการเงินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ทัศนคติในการใช้เงิน (Spending Attitude) ยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่สุด โดยเฉพาะในคนรุ่นใหม่ เนื่องจากมีแรงกดดันและกิเลสที่อยากจะกู้เพื่อซื้อสิ่งที่ต้องการ

เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว จึงจำเป็นต้องเน้นการจัดการสี่ด้านหลัก: การเตรียมพร้อมทำงานนานขึ้นเพื่อการเกษียณ การวางแผนการเงินเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์หลังเกษียณ การวางแผนประกันสุขภาพล่วงหน้า เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อด้านสุขภาพสูง และการลงทุนที่เป็นสิ่งจำเป็น พร้อมความตื่นตัวในคนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ ความท้าทายที่แท้จริงคือความจำเป็นด้านวินัยทางการเงิน โดยต้องมีการให้ความรู้เรื่องการบริหารหนี้ การชำระหนี้ และวินัยทางการเงิน ซึ่งสอดคล้องกับมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เน้นการควบคุมหนี้

ท้ายที่สุดแล้ว การจัดการกับ “ทัศนคติการใช้เงิน”ต้องดำเนินควบคู่ไปกับการสร้างวินัยทางการเงินเชิงรุก ที่สามารถทนต่อแรงกดดันทางสังคมและเศรษฐกิจที่รุนแรงได้จริง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ความจริงของ Passive Income: ทำไมถึงเป็นเรื่องยากในยุคหนี้ครัวเรือนท่วม

TikTok Shop 360 องศา: ‘ความจริงใจ’ สูตรเร่งยอดขาย ชนะการตลาดเดิม

วิกฤติหนี้ครัวเรือนไทย เครดิตบูโรเปิดสัญญาณอันตรายที่ต้องรู้

×

Share

ผู้เขียน