ท่ามกลางสมรภูมิข้อมูลข่าวสารที่ข่าวปลอม (Fake News) และเทคโนโลยี Deepfake จาก AI กลายเป็นอาวุธร้ายแรงที่บ่อนทำลายความมั่นคง กองทัพอากาศไทย (ทอ.) กำลังปรับกระบวนทัพครั้งใหญ่ ไม่ใช่แค่การเสริมศักยภาพทางการรบ แต่คือการ “สื่อสารเชิงรุก” ด้วยการผลักดันนายทหารและนักบินสู่การเป็น Content Creator เพื่อสร้างเกราะป้องกันและสื่อสารความจริงสู่ประชาชนโดยตรง
ในสนามรบยุคใหม่ ชัยชนะอาจไม่ได้วัดกันที่แสนยานุภาพของอาวุธเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึง “สงครามใจคน” ที่ถูกทิ่มแทงด้วยข้อมูลบิดเบือนทุกวินาที นี่คือโจทย์ใหญ่ที่กองทัพอากาศให้ความสำคัญสูงสุด
นาวาอากาศเอก วีรชน นรานุต รองโฆษกกองทัพอากาศ กล่าวว่า “เราอาจจะชนะในสงครามด้วยการใช้อาวุธ แต่เราอาจจะแพ้ในสงครามที่เกิดจากใจคน ที่ถูกข่าวปลอมทิ่มแทงอยู่ทุกวัน” แนวคิดนี้จึงเป็นที่มาของยุทธศาสตร์การสื่อสารใหม่ที่เรียกว่า “One Message, Many Voices”
หัวใจของยุทธศาสตร์นี้คือการกำหนด Key Message หลักด้านความมั่นคงจากส่วนกลางเพียงหนึ่งเดียว แต่เปิดโอกาสให้เหล่า Content Creator ในสังกัดกองทัพ ซึ่งมีจำนวนนับร้อยชีวิต นำสารนั้นไปขยายความและเล่าเรื่องในสไตล์ของตัวเอง ทำให้เกิดเป็นพลังเสียงที่หลากหลายแต่ยังคงแก่นสารสำคัญไว้ได้อย่างครบถ้วน
อิสระและความเป็นตัวตน: อาวุธใหม่ของครีเอเตอร์ในเครื่องแบบ
สิ่งที่น่าสนใจและฉีกกรอบภาพลักษณ์ขององค์กรทางทหารแบบเดิม ๆ คือนโยบายที่เปิดกว้างให้กำลังพลสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่
นาวาอากาศ โทณัฐนัย จันทร์เปล่ง คณะทำงานโฆษกกองทัพอากาศและผู้แทนคอนเทนต์ครีเอเตอร์จากกองทัพอากาศ ยืนยันว่า ครีเอเตอร์ของ ทอ. ไม่จำเป็นต้องนำเสนอเนื้อหาที่เป็นทางการหรือเกี่ยวกับกองทัพเพียงอย่างเดียว “น้อง ๆ สามารถเป็นตัวตนของตัวเอง ใช้ไลฟ์สไตล์แบบใดก็ได้ในการแชร์คอนเทนต์ ไม่ต้อง Force เป็นการ encourage ให้ทุกคนเป็นตัวของตัวเอง และสามารถสร้างความมั่นคงได้ ไม่ใช่แค่ในเรื่องของการทำหน้าที่ทางทหารเท่านั้น”
นโยบายนี้ทำให้เกิดคอนเทนต์ที่หลากหลายและเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ง่ายขึ้น ตั้งแต่คลิป TikTok ที่มีนายทหารโชว์ความสามารถทางดนตรี ไปจนถึงคอนเทนต์ไลฟ์สไตล์ของนักเรียนพยาบาลทหารอากาศ ซึ่งแม้จะดูเป็นเรื่องราวใกล้ตัว แต่กลับมีนัยยะสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ที่เป็นมิตรและเข้าถึงได้ พร้อมสอดแทรกภารกิจของกองทัพได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ตัวอย่างที่ชัดเจน คือการสื่อสารภารกิจการทดสอบนำเครื่องบินรบ Gripen ลงจอดบนถนนไฮเวย์ครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งแทนที่จะเป็นการแถลงข่าวแบบดั้งเดิม ทอ. เลือกที่จะสื่อสารผ่านสติกเกอร์และคลิปวิดีโอสั้น ๆ เพื่อสร้างการรับรู้และความเชื่อมั่นในศักยภาพการป้องกันประเทศไปสู่ประชาชนในวงกว้าง
การปรับกลยุทธ์ของทอ. เกิดขึ้นในจังหวะที่โลกกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากเทคโนโลยี AI อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อ “อัลกอริทึมของโซเชียลมีเดีย รู้จักตัวตนของเราดียิ่งกว่าตัวเราเอง” และสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการปั่น หรือชี้นำความคิดเห็นของสาธารณชนได้ง่ายดาย ตั้งแต่การสร้างความนิยมในตัวบุคคลไปจนถึงการปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้งหรือจลาจลในสังคม สิ่งที่เห็นในฟีดอาจไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด และนี่คือช่องโหว่ด้านความมั่นคงที่น่ากังวลที่สุดในปัจจุบัน
เปิดประตูสู่ความร่วมมือ: จากกองทัพสู่ครีเอเตอร์ภาคประชาชน
เพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว กองทัพอากาศไม่ได้เพียงสร้างครีเอเตอร์ภายใน แต่ยังเปิดโอกาสให้ครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ภายนอกได้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิด โดยได้ประกาศเชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมเป็นแขกพิเศษ (Special Guest) ชมการแข่งขันใช้อาวุธทางอากาศ ซึ่งจะได้เห็นการทิ้งระเบิดและยิงจรวดจริง พร้อมพบปะพูดคุยกับนักบินอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความเข้าใจและนำเรื่องราวไปถ่ายทอดต่อได้อย่างถูกต้อง
ในช่วงท้าย นาวาอากาศเอก วีรชน ได้กล่าวทิ้งท้ายถึงเจตนารมณ์ของผู้บัญชาการทหารอากาศคนใหม่ว่า “ประเทศไทยไม่ต้องการสงคราม แต่ถ้าเราต้องการสันติภาพ เราต้องพร้อม” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า การเตรียม “ความพร้อม” ในยุคดิจิทัลนั้น ครอบคลุมถึงการสร้างกองทัพ “นักสื่อสาร” ที่แข็งแกร่ง เพื่อปกป้องอธิปไตยทางข้อมูลข่าวสารของชาติให้มั่นคงตลอดไป
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
HAAB: ปั้น ‘ขนมไข่’ ร้อยล้านจาก Data ไม่ใช่ Passion
ปั้น ‘Responsible Voice’ 3 หน่วยงานฯ ตั้งมาตรฐานใหม่ให้ Finfluencer




