Share on
×

Share

ทักษะ MarTech ไม่พอ! เปิดสิ่งที่องค์กรต้องการจากนักการตลาดตัวจริง

ทักษะ MarTech ไม่พอ! เปิดสิ่งที่องค์กรต้องการจากนักการตลาดตัวจริง

ท่ามกลางยุคสมัยที่เทคโนโลยีทางการตลาด (MarTech) กลายเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจ เสียงสะท้อนจากเวทีเสวนา “Essential Skills of Technology-Driven Future Marketers” กลับชี้ไปยังบทสรุปที่น่าสนใจและอาจสวนกระแสความคาดหวังของใครหลายคน นั่นคือทักษะที่ขาดแคลนและเป็นที่ต้องการมากที่สุดในปัจจุบัน อาจไม่ใช่ความสามารถในการใช้เครื่องมือใหม่ล่าสุด แต่คือการกลับมาให้ความสำคัญกับ “ทักษะพื้นฐาน” ที่แข็งแกร่ง พร้อมด้วยคุณสมบัติสำคัญอย่าง “ความรับผิดชอบ” ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่องค์กรต่างโหยหา

ปัญหาโลกแตก: เมื่อองค์กรใหญ่ขยับช้าและคนทำงานไม่อยากเปลี่ยน

ก่อนจะไปถึงบทสรุปว่านักการตลาดต้องมีทักษะอะไร ณัฐพล ม่วงทำ เจ้าของเพจ การตลาดวันละตอน ในฐานะที่ปรึกษาผู้คลุกคลีกับปัญหาจริงในองค์กร กล่าวว่า การนำ MarTech มาใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย สาเหตุสำคัญคือ ความเฉื่อยชาของกระบวนการ และ วัฒนธรรมที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง

“ยิ่งองค์กรใหญ่และอยู่มานาน ยิ่งติดกับดักของความสำเร็จในอดีต ทำให้การตัดสินใจล่าช้าอย่างไม่น่าเชื่อ ผมเคยเจอองค์กรที่ใช้เวลาพูดคุยกันเกือบ 2 ปี กว่าจะได้ข้อสรุปและเริ่มลงมือติดตั้งระบบ CDP (Customer Data Platform) ซึ่งใน 2 ปีนั้น ตลาดและเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปไกลแล้ว ความล่าช้านี้คือต้นทุนของการเสียโอกาสทางธุรกิจที่มหาศาล”

นอกจากนี้ ปัญหาที่หยั่งรากลึกไม่แพ้กันคือ Legacy หรือกำแพงของกระบวนการทำงานแบบเดิมๆ ที่พนักงานคุ้นชินและไม่อยากปรับเปลี่ยน “พอมีเทคโนโลยีใหม่เข้ามา งานก็เยอะขึ้น ต้องเรียนรู้ใหม่ ทำให้เกิดแรงต้าน นี่คือความท้าทายที่ไม่ใช่เรื่องเทคนิค แต่เป็นเรื่องของ Mindset และการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่ผู้นำต้องเข้ามาจัดการอย่างจริงจัง”

ทักษะที่ขาดแคลนที่สุดไม่ใช่เรื่อง“เทคโนโลยี” แต่คือ“พื้นฐาน”

ท่ามกลางยุคที่เทคโนโลยีเฟื่องฟู ทักษะที่ขาดแคลนที่สุดกลับไม่ใช่ความสามารถในการใช้เครื่องมือที่ซับซ้อน แต่เป็นการหวนคืนสู่ รากฐานทางการตลาด” (Marketing Foundation) ที่เรียบง่ายทว่าทรงพลัง

โอชวิน จิรโสตติกุล ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง FutureSkill แพลตฟอร์มที่ถือข้อมูลเชิงลึกด้านการพัฒนาทักษะของคนทำงาน ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกจากแพลตฟอร์ม FutureSkill ว่า “คอร์สเรียนที่คนยังคงลงทะเบียนเรียนมากที่สุด ยังคงเป็นเรื่องพื้นฐานทางการตลาด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้คนยังคงต้องการกลับไปทำความเข้าใจแก่นแท้ของวิชาชีพ” เขายังกล่าวเสริมด้วยว่า “ตำแหน่งนักการตลาดที่มี Foundation แน่นๆ เป็นตำแหน่งที่หาคนยากมากในปัจจุบัน ถือเป็นตำแหน่งที่ขาดแคลนที่สุดในบริษัทผมเลยก็ว่าได้”

มุมมองนี้สอดคล้องกับประสบการณ์ของคุณณัฐพลอย่างยิ่ง “ผมเจอนักการตลาดที่รู้จักเครื่องมือเยอะมาก ใช้เทคนิคได้ร้อยกระบวนท่า แต่พอให้วิเคราะห์ SWOT กลับทำไม่ได้ หรือแม้กระทั่ง Customer Journey บางคนยังวาดไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ ถ้าพื้นฐานไม่แน่น สุดท้ายก็ไปต่อได้ลำบาก เพราะคุณจะไม่รู้ว่าควรจะหยิบเครื่องมืออะไร มาใช้เพื่อแก้ปัญหาอะไรในเส้นทางของผู้บริโภค”

Critical Thinking และ Storytelling: อาวุธลับที่ทรงพลัง

เมื่อมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งแล้ว ทักษะที่จะเข้ามาเป็นตัวชี้วัดความแตกต่างของนักการตลาดคุณภาพสูงในยุคนี้คือ Critical Thinking (การคิดเชิงวิพากษ์) และ Storytelling (การเล่าเรื่อง)

Critical Thinking ในบริบทนี้ ไม่ได้หมายถึงการใช้เครื่องมือเป็น แต่คือ การเข้าใจตรรกะเบื้องหลังของเทคโนโลยีนั้น ๆ คุณณัฐพลเปรียบเทียบกับการใช้ AI ได้อย่างเห็นภาพว่า “ปัญหาทุกวันนี้คือเรามัวแต่ตามหาสูตร Prompt สำเร็จรูป โดยที่เราลืมไปว่าแก่นของมันคือการเข้าใจตรรกะของการสั่งงาน ถ้าเราสามารถเขียนบรีฟให้คนทำงานได้ เราก็ควรจะสามารถบรีฟ AI ได้เช่นกัน ไม่สำคัญว่าในอนาคตจะมี AI ตัวไหนเกิดขึ้นมา ถ้าเรามี Logic ที่ดี เราก็จะสามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกเทคโนโลยี เหมือนทักษะการขับรถ ถ้าคุณขับเป็น คุณก็ขับรถได้ทุกคัน”

ส่วน Storytelling คือทักษะในการเป็นสะพานเชื่อมระหว่างโลกของข้อมูลที่ซับซ้อนกับโลกของธุรกิจที่ต้องการความชัดเจน นักการตลาดต้องสามารถนำ Data ที่ได้จากหลังบ้าน หรือแผนการตลาดที่เต็มไปด้วยศัพท์เทคนิค มาเล่าเรื่องให้ผู้บริหารหรือทีมอื่นเข้าใจและเห็นภาพเดียวกันได้ เพื่อผลักดันให้โปรเจกต์ได้รับการอนุมัติและเดินหน้าต่อไปได้จริง

คำตอบสุดท้ายที่องค์กรต้องการ: ไม่ใช่แค่คนเก่งแต่คือคนที่มี “ความรับผิดชอบ”

เมื่อถามถึงคุณสมบัติสำคัญที่สุดที่องค์กรคาดหวังจากบุคลากรใหม่ คำตอบที่ได้รับกลับไม่ใช่ความสามารถทางเทคนิค แต่เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของมนุษย์ที่เรียบง่ายที่สุด นั่นคือ “ความรับผิดชอบ”

“สำหรับผม นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าเรามอบหมายงานที่ยากเกินความสามารถให้เขาไป คนที่มีความรับผิดชอบจะรู้ตัวเองว่าเขาต้องไปขวนขวายหาข้อมูลหรือศึกษาเพิ่มเติมเพื่อทำงานนั้นให้สำเร็จให้ได้ และคนที่มีคุณสมบัติแบบนี้จะเก่งขึ้นเองโดยอัตโนมัติ” คุณณัฐพล กล่าว

ความรับผิดชอบในที่นี้จึงหมายถึง ความใฝ่รู้และการเป็นเจ้าของในผลลัพธ์ของงาน (Ownership) ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่องค์กรมองว่ามีค่ามากกว่าการรู้จักเครื่องมือหลายสิบตัว เพราะองค์กรสามารถสอนเรื่องเครื่องมือได้ แต่การปลูกฝังความรับผิดชอบนั้นยากกว่ามาก

ทั้งนี้อาจกล่าวสรุปได้ว่า การจะเป็นนักการตลาดแห่งอนาคตที่ประสบความสำเร็จ อาจไม่ใช่การวิ่งไล่ตามแสงของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพียงอย่างเดียว แต่คือการกลับมาสร้างรากฐานของตัวเองให้แข็งแกร่ง พร้อมกับขัดเกลาทักษะการคิด การสื่อสาร และมีวินัยความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นคุณค่าที่แท้จริงที่จะทำให้สามารถยืนหยัดและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในทุกยุคสมัย

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Databricks พลิกโฉมการใช้ข้อมูลให้ ‘พูดคุย’ กับดาต้าด้วยภาษาไทยได้

ปั้น ‘Responsible Voice’ 3 หน่วยงานฯ ตั้งมาตรฐานใหม่ให้ Finfluencer

×

Share

ผู้เขียน