Share on
×

Share

GAME ON! ‘ไผท ผดุงถิ่น’ ชี้ SME พลิกเกมสู้ยักษ์ใหญ่ด้วย AI แนะเปลี่ยน HR เป็น HAIR

GAME ON! 'ไผท ผดุงถิ่น' ชี้ SME พลิกเกมสู้ยักษ์ใหญ่ด้วย AI แนะเปลี่ยน HR เป็น HAIR

ในยุคที่หลายคนอาจมองปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เป็นภัยคุกคาม ไผท ผดุงถิ่น CEO และผู้ก่อตั้ง Builk One Group (B1 Group) กลับนำเสนอแง่มุมที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เขาชี้ว่า นี่คือโอกาสครั้งสำคัญที่สุดในรอบหลายปีสำหรับผู้ประกอบการขนาดเล็กหรือ SME เพราะ AI ได้กลายมาเป็นเครื่องมือที่มีความสามารถสูง เปิดทางให้ SME สามารถแข่งขันกับบริษัทยักษ์ใหญ่ได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มุมมองนี้ถูกนำเสนอระหว่างการแบ่งปันวิสัยทัศน์ในหัวข้อ GAME ON สงครามธุรกิจที่ SME สู้ยักษ์ใหญ่ได้ด้วย AI ภายในงาน SME Thailand Future Day 2026

คุณไผท อธิบายเพิ่มเติมว่า ประเด็นสำคัญในวันนี้ไม่ได้อยู่ที่การมี AI เนื่องจากทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้ไม่ต่างกัน เขายกตัวอย่างเปรียบเทียบว่า “เหมือนมีเด็กปริญญาเอกด้วยราคา 200 เหรียญต่อเดือน อยู่ในออฟฟิศเรา” ดังนั้นหัวใจหลักที่แท้จริงจึงอยู่ที่คำถามว่า “เราใช้มันต่างกันยังไงต่างหาก” ซึ่งหมายถึงการประยุกต์ใช้ที่จะสร้างความได้เปรียบที่แท้จริง

AI as a Resource: เมื่อ HR ต้องเปลี่ยนเป็น HAIR

คุณไผท ได้ขยายความถึงแนวคิดสำคัญที่เรียกว่า AI as a Resource โดยชี้ให้เห็นว่านิยามของปัจจัยการผลิตในระบบเศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนแปลงไป

เขาอธิบายว่า ในทฤษฎีดั้งเดิม ปัจจัยการผลิตหลักมี 4 ประการคือ ที่ดิน แรงงาน ผู้ประกอบการ และทุน แต่ในโลกปัจจุบัน บริบทได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ที่ดินมีความจำเป็นน้อยลงสำหรับธุรกิจในยุคออนไลน์ ขณะที่แรงงานมนุษย์ในหลายส่วนกำลังถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ จากความเปลี่ยนแปลงนี้ ไผทจึงเสนอแนวคิดใหม่ว่า องค์กรต้องเริ่มนับ AI ในฐานะทรัพยากรการผลิตตัวใหม่ (AI as a resource) ที่มีความสำคัญไม่แพ้ปัจจัยดั้งเดิม

เพื่อสะท้อนแนวคิดนี้ในทางปฏิบัติ ที่ Builk One Group จึงได้ปรับเปลี่ยนชื่อแผนกทรัพยากรบุคคล จากเดิมคือ HR (Human Resource) ไปสู่ชื่อใหม่คือ HAIR (Human and AI Resources) การเปลี่ยนชื่อนี้ไม่ใช่แค่การเล่นคำ แต่เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่า ต่อไปนี้องค์กรต้องมีกลยุทธ์ในการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ และทรัพยากรปัญญาประดิษฐ์ ควบคู่กันไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ถอดรหัสธุรกิจ SaaS ฉบับไทย: ‘ไผท ผดุงถิ่น’ กับวิวัฒนาการจากซอฟต์แวร์กล่องสู่โมเดลที่ยั่งยืน

ตัวเล็กคือข้อได้เปรียบ: SME เปลี่ยนนิสัยไวกว่า

คุณไผทเน้นย้ำว่า ความคล่องตัวคือข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของผู้ประกอบการ SME เขาชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในยุคนี้ ไม่ได้วัดกันที่การมีเครื่องมือ แต่คือความสามารถในการ “เปลี่ยนนิสัย” (Habit) หรือกระบวนการทำงาน (Workflow) ทั้งองค์กร

เขาได้ยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงในบริษัทของตนเองว่า “สเปรดชีทหรือว่า Excel เนี่ยเป็นของบาปครับตอนนี้” ซึ่งนโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อบังคับให้พนักงานทุกคนเลิกทำงานแบบแยกส่วน และหันมาใช้ข้อมูลจากแหล่งเดียวกัน (Single source of truth)

คุณไผทยอมรับว่ากระบวนการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มักจะ “เจ็บปวด” และต้องอาศัยการ “ฝืนตัวเอง” แต่เขากลับมองว่านี่คือจุดที่ SME ได้เปรียบอย่างมหาศาล

“ผมอยากจะบอกว่าข้อดีของพวกเราที่เป็น SME คือคนตัวเล็กเนี่ยมันปรับเปลี่ยนง่ายกว่าเยอะ”

เขาอธิบายขยายความว่า องค์กรขนาดใหญ่ หรือแม้แต่องค์กรขนาดกลางอย่างบริษัทของเขาเองที่มีพนักงาน 150 คน มักจะเผชิญกับความท้าทายในการเปลี่ยนแปลง เพราะเริ่มมี “ไซโล” (Silos) หรือการทำงานแบบแยกส่วน และมี “นิสัยของตัวเองที่แข็งแรงมากแล้ว” ทำให้การปรับเปลี่ยนใดๆ ต้องใช้พลังงานมหาศาลและเป็นไปอย่างล่าช้า

ในทางตรงกันข้าม SME ที่อาจจะยังมี “ความไม่มี” หรือไม่มีกระบวนการที่ซับซ้อนฝังรากลึก กลับสามารถปรับเปลี่ยนนิสัยและนำ AI มาใช้ในกระบวนการทำงานใหม่ได้เร็วกว่าองค์กรขนาดใหญ่อย่างเทียบไม่ติด

4 งานที่มนุษย์ไม่ควรทำอีกต่อไป

คุณไผทได้ชี้ให้เห็นว่า เพื่อให้องค์กรสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างเต็มศักยภาพ จำเป็นต้องปลดปล่อยพนักงานออกจากสิ่งที่เขาเรียกว่า งานที่ไม่มีคุณค่า ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มประสิทธิภาพ เขาได้จำแนกงาน 4 ประเภทหลักที่มนุษย์ไม่ควรต้องทำอีกต่อไป และควรส่งมอบให้เป็นหน้าที่ของ AI

เขาอธิบายว่างานเหล่านี้ ได้แก่

  • งานซ้ำซาก (Repetitive Work): คืองานที่ต้องทำเป็นประจำเหมือนเดิมทุกวัน ทุกสัปดาห์ หรือทุกเดือน เช่น กระบวนการทำเอกสารเคลมเงินสดย่อย
  • งานย้ายข้อมูล (Data Migration): ซึ่งรวมถึงการย้ายไฟล์ข้อมูลขนาดใหญ่ หรือการจัดการข้อมูลจุกจิกจำนวนมากจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง
  • งานที่น่าเบื่อ (Tedious Work): คืองานที่ต้องทำแต่ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์หรือคุณค่าเพิ่ม (ซึ่งในบทบรรยายระบุถึงคำว่า “งานอีสเดน” )
  • งานค้นหาข้อมูล (Data Search): การต้องค้นหาคำตอบหรือข้อมูลบางอย่างจากกองข้อมูลขนาดมหาศาล

งานลักษณะดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานเอกสาร (Paperwork) ไม่ได้ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจแต่อย่างใด เขาจึงต้องการนำ AI เข้ามาจัดการงานเหล่านี้ เพื่อเอาเวลาไปคืนคนทำงานและเปิดโอกาสให้พนักงานได้ไปสร้างสรรค์งานอื่นที่สำคัญและมีคุณค่ามากกว่า

มนุษย์ยังจำเป็น: เมื่อ Secret Sauce คือ Trust

เมื่อ AI เข้ามารับผิดชอบงานประจำที่ต้องทำซ้ำ ๆ (Routine Work) คำถามสำคัญที่ตามมาคือ แล้วมนุษย์จะทำอะไร?

คุณไผท ได้ให้คำตอบในประเด็นนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า คุณค่าของมนุษย์จะเปลี่ยนไปอยู่ที่ทักษะ ซึ่ง AI ไม่สามารถทำแทนได้โดยง่าย นั่นคือ การสื่อสาร (Communication) การสร้างแรงจูงใจ (Motivation) การตัดสินใจ (Judgement) และที่สำคัญที่สุดคือ การลงมือปฏิบัติจริง (Execution)

เขาได้ขยายความโดยยกตัวอย่างจากความเชี่ยวชาญของเขาในธุรกิจ B2B (Business-to-Business) ว่า หัวใจสำคัญหรือ “Secret Sauce” ของการทำธุรกิจประเภทนี้คือ “ความไว้วางใจ” (Trust)

คุณไผทอธิบายความแตกต่างว่า ธุรกิจ B2C (Business-to-Consumer) อาจมีการตัดสินใจซื้อที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์เป็นตัวนำ เช่น การซื้อสินค้าในช่วงแคมเปญ 11.11 แต่สำหรับ B2B กระบวนการนั้นขับเคลื่อนด้วยตรรกะและเหตุผลเป็นหลัก องค์กรลูกค้าจะมีทีมจัดซื้อ (Buying Team) ที่ต้องทำการเปรียบเทียบอย่างรอบคอบ และต้องผ่านกระบวนการอนุมัติงบประมาณที่ชัดเจน

ดังนั้น การจะสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้นได้จึงต้องอาศัยเวลา และ “กิจกรรม” ที่มุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ (Activity-based selling) เช่น การเข้าพบเพื่อทำความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง การเจรจาต่อรอง และการดูแลความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งไผทสรุปว่า ทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและอาศัยความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ยังไม่สามารถทำแทนได้

“หยุดวิ่งก็ไม่ได้”

คุณไผท ผดุงถิ่น ได้สรุปทิ้งท้ายด้วยการย้ำเตือนถึงความเร่งด่วนของการปรับตัวในยุคนี้ว่า “หยุดวิ่งก็ไม่ได้” เพราะการแข่งขันทางธุรกิจด้วย AI ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว (Game On)

เขาอธิบายว่า ภูมิทัศน์การแข่งขันในยุคดิจิทัลและ AI นั้นเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก แม้ว่าคนที่เริ่มก้าวก่อน ลงมือทำก่อน จะเป็นผู้ได้เปรียบ แต่ความได้เปรียบนั้นจะคงอยู่เพียง “แป๊บเดียว” เท่านั้น “ไม่นานก็จะมีคนวิ่งไล่ตามคุณได้ไม่ยากเหมือนกัน”

ด้วยเหตุนี้ องค์กรจึงไม่สามารถหยุดนิ่งได้ โดยเขาได้ยกตัวอย่างสิ่งที่ Builk One Group กำลังทำในปัจจุบัน คือการก้าวสู่การใช้ AI ในระดับที่ 4 ซึ่งหมายถึงการฝัง AI เข้าไปในกระบวนการทำงานประจำ (Workflow) อย่างเป็นรูปธรรม

คุณไผทได้เล่าถึงการทดลองล่าสุด คือการสร้าง “น้องอินเทิร์น” ซึ่งเป็น Storytelling Generative AI Chatbot ที่สามารถทำงานตอบโต้ลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน โดยเบื้องหลังการทำงานของแชทบอทนี้ ไม่ได้มีเพียง AI ตัวเดียว แต่ประกอบด้วย AI Agent 3 ส่วนที่ทำงานร่วมกัน ได้แก่

  1. Intention Agent: ทำหน้าที่ตรวจสอบและวิเคราะห์เจตนาของผู้ที่สนทนาด้วย
  2. Knowledge Agent: ทำหน้าที่ดึงข้อมูลความรู้ที่เกี่ยวข้อง (เช่น จากคลิปการบรรยาย หรือบทความในบล็อกของไผท) เพื่อนำมาใช้ในการตอบคำถาม
  3. Sales Supervisor Agent: ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุม คอยกำกับไม่ให้ AI ตอบคำถามที่ “กาว” หรือสร้างข้อมูลที่ผิดพลาดออกไป

การพัฒนานี้สะท้อนคำเตือนสำคัญของไผทที่ว่า “หยุดวิ่งก็ไม่ได้” และเป็นเหตุผลที่เขาเรียกร้องให้ผู้ประกอบการ SME “เริ่มใช้ AI จริงจังตั้งแต่ตอนนี้นะครับ” ก่อนที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังในเกมที่ไม่มีใครรอใคร

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ชี้ตลาดบัตรเครดิต ‘คนปิดมากกว่าเปิด’ ผู้บริโภคเข้าสู่ยุค ‘ใช้เมื่อเห็นความคุ้มค่า’

Goodnotes บุกไทย เผยไทยตลาด Top 10 เปิดตัวแพ็กเกจใหม่-วิสัยทัศน์ AI สู่องค์กร

×

Share

ผู้เขียน