Airbus กำลังเดินหน้าตอกย้ำความสัมพันธ์ที่ยาวนานกว่า 4 ทศวรรษกับประเทศไทย โดยก้าวข้ามบทบาทผู้ผลิตและส่งมอบยุทโธปกรณ์ ไปสู่การเป็น “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์” ผ่านการยกระดับความร่วมมือกับอุตสาหกรรมในประเทศอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการสนับสนุนระบบนิเวศด้านการป้องกันประเทศของไทยให้มีความแข็งแกร่ง พึ่งพาตนเองได้และพร้อมสำหรับอนาคต
เบิร์ท พอร์ทแมน ผู้แทนแอร์บัสประจำประเทศไทย กล่าวว่าในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนก่อนงานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (Defence & Security Exhibition) คือการประกาศกระชับความสัมพันธ์กับบริษัทอุตสาหกรรมการบิน จำกัด (TAI) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ Airbus ในประเทศไทย
แอร์บัสตอกย้ำว่าประเทศไทยคือตลาดเชิงกลยุทธ์ ที่บริษัทได้สร้างความร่วมมือมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 40 ปี ปัจจุบัน มีเฮลิคอปเตอร์ทั้งในภาคพลเรือน งานบริการกึ่งสาธารณะ และทหารมากกว่า 70 ลำ รวมถึงเครื่องบินลำเลียงทางทหารกว่า 15 ลำ ที่กำลังประจำการอยู่กับหน่วยงานภาครัฐและเหล่าทัพต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนภารกิจหลากหลาย ตั้งแต่การลำเลียงกำลังพลไปจนถึงการค้นหาและกู้ภัย
“ประเทศไทยเป็นตลาดเชิงกลยุทธ์ที่มีความสำคัญสำหรับแอร์บัส เรามุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างการดำเนินงานในประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ผ่านผลิตภัณฑ์ของเรา ความร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศ และการสนับสนุนต่อความต้องการระยะยาวของไทย” พอร์ทแมน กล่าว
“TAI” หัวใจแห่งการเติบโต สู่การพึ่งพาตนเอง
พอร์ทแมน ชี้ชัดว่าความสำเร็จในประเทศไทยต้องอาศัยการเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งกับอุตสาหกรรมในท้องถิ่น และ TAI คือตัวอย่างที่สำคัญที่สุด โดยในงาน DSE ที่จะถึงนี้ ทั้งสองฝ่ายจะมีการ “ลงนามในบันทึกข้อตกลงใหม่” ที่ครอบคลุมทั้งส่วนของ Airbus Defence and Space และ Airbus Helicopters
ความร่วมมือนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นการต่อยอดความสำเร็จที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2560 และได้ยกระดับขึ้นในปี 2564 เมื่อ TAI กลายเป็นผู้รับเหมาหลักและศูนย์ความสมบูรณ์ (Prime Contractor and Completion Center) สำหรับการขายและจัดจำหน่ายเฮลิคอปเตอร์ให้กับลูกค้ารัฐบาลและกองทัพไทย
ความร่วมมือนี้เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2560 ในด้านการให้บริการหลังการขายสำหรับฝูงเฮลิคอปเตอร์ของรัฐบาล ปัจจุบัน TAI ได้ทำหน้าที่เป็นผู้รับเหมาหลักและศูนย์ตกแต่ง (Completion Centre) สำหรับการจำหน่ายเฮลิคอปเตอร์ให้แก่หน่วยงานรัฐ รวมถึงเป็นผู้ให้บริการบำรุงรักษาหลักให้กับกองทัพไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เป้าหมายของความร่วมมือนี้ คือการถ่ายโอนขีดความสามารถในการบำรุงรักษา (MRO) และการสนับสนุนในท้องถิ่น สร้างความเชี่ยวชาญ และความสามารถในการพึ่งพาตนเองให้กับประเทศไทย สิ่งนี้ถือเป็นจุดแข็งและความได้เปรียบที่ Airbus ย้ำว่าใช้ในการแข่งขันกับคู่แข่งรายอื่น โดยยกตัวอย่างความสำเร็จในอินเดีย ที่มีการสั่งซื้อ C295 จำนวน 56 ลำ โดย 40 ลำในจำนวนนั้นจะถูกผลิตขึ้นในอินเดีย
กองทัพไทยกับยุทโธปกรณ์ยุคใหม่: จากดีลล่าสุด สู่ “ไพ่ลับ” ที่รอการตัดสินใจ
การแถลงข่าวครั้งนี้ยังให้ภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับยุทโธปกรณ์ที่ Airbus ส่งมอบแล้ว และที่กำลังผลักดันให้กองทัพไทยพิจารณาในอนาคต
1. A330 MRTT Plus: ดีลล่าสุดที่ “ไร้คู่แข่ง”
การจัดซื้อเครื่องบินลำเลียงเติมเชื้อเพลิงทางอากาศอเนกประสงค์ A330 MRTT Plus และเฮลิคอปเตอร์ H225 ของกองทัพอากาศไทย เมื่อเดือนกันยายน 2568 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญล่าสุด
เครื่องบิน A330 MRTT+ นี้ ถูกนำเสนอในฐานะยุทโธปกรณ์สำคัญที่จะช่วยเสริมศักยภาพด้านการเคลื่อนย้ายทางอากาศและขยายขอบเขตการปฏิบัติภารกิจ โดยกองทัพอากาศไทยเตรียมนำเครื่องบินรุ่นนี้มาใช้งาน หลังจากได้สั่งซื้อไปจำนวน 1 ลำ เมื่อเดือนกันยายน 2568 ที่ผ่านมา
ในการตอบคำถามสื่อมวลชนที่ว่าเหตุใด A330 MRTT Plus จึงดูเหมือนเป็นตัวเลือกเดียวที่กองทัพอากาศต้องการ ผู้บริหารของ Airbus ชี้แจงว่า แพลตฟอร์มนี้ “ไร้คู่แข่ง” ในตลาด โดยครองส่วนแบ่งตลาดโลกถึง 90% (นอกสหรัฐฯ) ไม่เพียงแต่มีความยืดหยุ่นสูง (ขนส่งผู้โดยสารได้ 300 คน ภารกิจอพยพทางการแพทย์ หรือบรรเทาทุกข์ ) แต่ยังมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุด คือ ระบบการเติมเชื้อเพลิงทางอากาศอัตโนมัติ (Automated Aerial Refuelling – A3R) ซึ่งเป็นระบบเดียวในโลก และสิงคโปร์ ซึ่งปฏิบัติการ MRTT อยู่ 6 ลำ ก็ได้ร่วมพัฒนาเทคโนโลยี A3R นี้จนเสร็จสิ้นและรอการรับรองเต็มรูปแบบ
2. C295: จิ๊กซอว์ที่รอการตัดสินใจ
ปัจจุบัน กองทัพบกไทยใช้งานเครื่องบินลำเลียงทางยุทธวิธี C295 อยู่แล้ว และ Airbus ยืนยันว่ามีความสนใจอย่างต่อเนื่องจากทั้งกองทัพอากาศและกองทัพเรือไทย
โดยกองทัพบกไทยใช้งานเครื่องบิน C295 สำหรับภารกิจลำเลียงกำลังพลและสัมภาระเป็นหลัก แต่ยังมีความอเนกประสงค์สูงที่สามารถปรับใช้ได้กับภารกิจหลากหลาย ทั้งการค้นหาและกู้ภัย การบรรเทาสาธารณภัย การดับไฟป่า และการลาดตระเวนทางทะเล
Airbus เน้นย้ำว่า C295 คือเครื่องมือที่เหมาะสมที่สุดสำหรับภารกิจที่หลากหลายในประเทศไทย โดยเฉพาะการเฝ้าระวังทางทะเล เนื่องจากประเทศไทยมีแนวชายฝั่งที่ยาวกว่า 3,000 กิโลเมตร C295 สามารถตอบโจทย์ภารกิจได้ตั้งแต่การต่อต้านการกระทำอันเป็นโจรสลัด ไปจนถึงการลาดตระเวนปราบเรือดำน้ำ และที่สำคัญคือสามารถบำรุงรักษาได้เองในประเทศผ่าน TAI
3. A400M: ไพ่ลับสำหรับภารกิจ “Heavy Lift”
แม้จะมีข้อสังเกตว่ากองทัพอากาศไทยยังไม่มีความต้องการเครื่องบินลำเลียงขนาดหนัก (Heavy Lift) ในสมุดปกขาว แต่ Airbus ก็กำลังผลักดัน A400M ด้วยจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
แอร์บัสชู A400M ในฐานะโซลูชันสำหรับประเทศที่มองหาการเคลื่อนย้ายทางอากาศที่ครบวงจร โดยรองรับน้ำหนักบรรทุกได้สูงสุดถึง 37 ตัน มอบสมรรถนะทั้งในภารกิจระดับยุทธศาสตร์และยุทธวิธี และมีความสามารถในการขึ้นลงบนรันเวย์ที่ไม่ได้ปูลาดยาง
Airbus ยังได้นำเสนอกลยุทธ์การผสมผสานฝูงบิน (Mix Fleet Strategy) ที่ประกอบด้วย A400M, A330 MRTT และ C295 ซึ่งจะมอบโซลูชันที่ครอบคลุมทุกมิติของภารกิจ ตั้งแต่การป้องกันประเทศไปจนถึงการตอบสนองต่อภัยพิบัติ
A400M ถูกวางตำแหน่งให้เป็นเครื่องบินที่ทำได้ทั้งภารกิจยุทธศาสตร์และยุทธวิธี โดยมีความสามารถในการบรรทุกได้ถึง 37-40 ตัน แต่ยังสามารถ ลงจอดบนทางวิ่งที่ไม่ลาดยาง (unpaved runways) หรือทางวิ่งสั้นได้ ซึ่งพิสูจน์แล้วในเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่สุลาเวสี ปี 2561 ที่ A400M เป็นเครื่องบินเพียงลำเดียวที่สามารถขนส่งอุปกรณ์หนักขนาดใหญ่ (รถขุด) ไปยังพื้นที่ประสบภัยที่รันเวย์เสียหายได้
นอกจากนี้ A400M ยังมีความสามารถในการ เติมเชื้อเพลิงให้กับเฮลิคอปเตอร์กลางอากาศ (ซึ่ง MRTT ทำไม่ได้เนื่องจากช่วงความเร็วต่างกัน) และล่าสุด อินโดนีเซียที่เพิ่งรับมอบเครื่องแรกไป ก็ได้สั่งซื้อชุดอุปกรณ์ดับเพลิง (fire fighting kits) ที่สามารถบรรจุน้ำได้ถึง 20 ตัน
สมรภูมิแห่งอนาคต: “โดรน” และ “ระบบแห่งระบบ” (FCAS)
อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญคือการรุกตลาดอากาศยานไร้คนขับ (UAS) หรือโดรน ซึ่ง Airbus นำเสนอโซลูชันที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น
Flexrotor: โดรนปีกตรึงที่ขึ้น-ลงจอดในแนวดิ่ง (VTOL) มีความทนทานสูงและปฏิบัติการได้เงียบ แม้ไทยจะยังไม่ได้จัดหา แต่ Airbus จะนำโมเดลขนาดจริงมาจัดแสดงในงาน DSE โดยในภูมิภาคนี้ ออสเตรเลีย (Drone Forge) ได้สั่งซื้อไปแล้ว 6 ระบบ (17 ลำ) และสิงคโปร์กำลังจะสาธิตการทำงานร่วมกัน (Teaming) ระหว่าง Flexrotor กับเฮลิคอปเตอร์ H225M
Flexrotor ถือเป็นระบบอากาศยานไร้คนขับปีกตรึงขนาดเล็กแบบขึ้นลงทางดิ่ง (VTOL) ที่ออกแบบมาเพื่อการปฏิบัติการระยะยาวและภารกิจที่ต้องการความลับสูง โดยได้พิสูจน์สมรรถนะแล้วจากชั่วโมงบินกว่า 5,000 ชั่วโมงในพื้นที่ปฏิบัติการที่มีความเสี่ยงสูง และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับภารกิจ ISTAR
Sirtap: โดรนลักษณะคล้ายเครื่องบินที่บินได้นาน 20 ชั่วโมง ซึ่ง Airbus ยอมรับว่ากองทัพไทย “แสดงความสนใจ” แต่ยังไม่มีการลงนามใด ๆ
สำหรับ Sirtap นั้น เป็นอากาศยานไร้คนขับเชิงยุทธวิธีที่สามารถปรับให้เหมาะสมกับภารกิจลาดตระเวนทางทะเลและการป้องกันชายแดน พร้อมขีดความสามารถในการปฏิบัติการด้านข่าวกรอง การสอดแนม และการเฝ้าตรวจ (ISR) ได้อย่างแม่นยำในทุกสภาพอากาศ
โซลูชันอื่น ๆ: Airbus ยังมีโดรน Zephyr ที่สร้างสถิติโลกบินได้นาน 46 วัน และ Euro Drone โดรนขนาดใหญ่ 2 เครื่องยนต์
อย่างไรก็ตาม Airbus ชี้ว่าอนาคตไม่ใช่การขายโดรนแยกส่วน แต่คือการพัฒนาระบบแห่งระบบ (System of Systems) ที่เรียกว่า Future Combat Air System (FCAS) ซึ่งเป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงอากาศยานที่มีคนขับ เข้ากับระบบไร้คนขับ (โดรน) และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ทั้งในอากาศ อวกาศ ภาคพื้นดิน และทางทะเล ผ่านสิ่งที่เรียกว่า “Multi-Domain Cloud” โดยใช้ AI ในการประมวลผลและตอบสนองต่อสถานการณ์
ขุมกำลังเฮลิคอปเตอร์ และมิติอวกาศ
นอกเหนือจากเครื่องบินลำเลียงและโดรน แอร์บัสยังได้เน้นย้ำถึงตลาดเฮลิคอปเตอร์ โดยชู H175 ซึ่งประจำการกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติตั้งแต่ปี 2560 และถือเป็นผู้ใช้งานรายแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิสิก
พร้อมกันนี้ ได้นำเสนอเฮลิคอปเตอร์รุ่นใหม่ H160 ที่ออกแบบมาเพื่อเสริมศักยภาพของ H175 โดยแอร์บัสมองว่า H160 มีศักยภาพที่จะทำงานร่วมกับ H175 ของไทยในหลากหลายภารกิจ ตั้งแต่การค้นหาและกู้ภัย (SAR) การบังคับใช้กฎหมาย ไปจนถึงการดับเพลิงและการแพทย์ฉุกเฉิน
ในส่วนของกองทัพบกไทย ซึ่งปัจจุบันใช้งานเฮลิคอปเตอร์รุ่น H125M อยู่แล้ว แอร์บัสก็มองเห็นโอกาสในการขยายการใช้งาน H125 สำหรับภารกิจที่หลากหลายขึ้น เช่น การดับไฟป่า การบังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนการฝึกนักบินขั้นต้น โดยใช้ร่วมกับระบบจำลองการบินเสมือนจริง (H125 VRS)
ในมิติอวกาศ แอร์บัสกำลังพัฒนาดาวเทียม OneSat รุ่นแรกของไทยที่มีความยืดหยุ่นสูงให้กับบริษัท ไทยคม ซึ่งเป็นดาวเทียมที่มอบการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพและสามารถปรับเปลี่ยนการทำงานได้ตามความต้องการ
สำหรับในงาน Defence & Security 2025 ที่จะถึงนี้ แอร์บัสจะจัดแสดงโมเดลเครื่องบิน A330 MRTT, A400M และ C295 พร้อมด้วยโมเดลจำลองอากาศยานไร้คนขับ Flexrotor ขนาดเท่าของจริง และเฮลิคอปเตอร์รุ่น H125, H160 และ H175 ที่บูธ Q33 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี
การแถลงข่าวครั้งนี้จึงเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า Airbus ไม่ได้มองประเทศไทยในฐานะ “ลูกค้า” แต่ในฐานะ “พันธมิตร” ที่จะเติบโตไปด้วยกัน ผ่านการลงทุนในอนาคต ความสามารถ และศักยภาพของไทย ในการเป็นศูนย์กลางการบินและอวกาศชั้นนำของภูมิภาค
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Goodnotes บุกไทย เผยไทยตลาด Top 10 เปิดตัวแพ็กเกจใหม่-วิสัยทัศน์ AI สู่องค์กร
หนี้ครัวเรือนพัง! บีบคนไทยเกษียณ 70 ปี เหตุผลลึกจาก ‘กู้เพื่อไลฟ์สไตล์’




