ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำวิสัยทัศน์ผู้นำด้านดิจิทัลแบงก์กิ้งอีกครั้ง ด้วยการจัดงานใหญ่ประจำปี “Krungsri Tech Day 2025” ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 4 ภายใต้แนวคิดหลัก “Empowering People to make life simple” โดยภายในงาน เคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ขึ้นกล่าวเปิดวิสัยทัศน์ครั้งสำคัญ ประกาศทิศทางของธนาคารในวาระครบรอบ 80 ปี
คุณเคนอิจิ เน้นย้ำว่า ในการก้าวสู่ทศวรรษหน้า “วิวัฒนาการไม่เพียงพออีกต่อไป แต่การทรานส์ฟอร์มคือสิ่งจำเป็น” การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การนำเครื่องมือใหม่ ๆ มาใช้ แต่เป็นการพลิกโฉมกระบวนการทำงาน การร่วมมือกับพันธมิตร และที่สำคัญที่สุดคือ วิธีการที่ธนาคารจะสนับสนุนให้ผู้คน ธุรกิจ และสังคมประสบความสำเร็จในโลกดิจิทัล
หัวใจสำคัญของกลยุทธ์นี้คือแนวคิด “เทคโนโลยีเพื่อผู้คน” (Technology for People) โดยมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ก้าวข้ามความเป็นเพียงผลิตภัณฑ์หรือแพลตฟอร์ม แต่เป็นการสร้างประสบการณ์ทางการเงินที่ชาญฉลาด และผสมผสานเข้ากับชีวิตประจำวันได้อย่างราบรื่น ทำให้การธนาคารง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้น และปลอดภัยยิ่งขึ้น เพื่อเดินหน้าสู่อนาคตที่ยั่งยืน กรุงศรีจะลงทุนในเทคโนโลยีและขีดความสามารถทางดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้า สร้างความปลอดภัยและความไว้วางใจ ซึ่งทั้งหมดนี้คือรากฐานในการก้าวสู่การเป็นธนาคารชั้นนำที่ยั่งยืน และสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคม
เพื่อให้วิสัยทัศน์ดังกล่าวเกิดผลเป็นรูปธรรม คณะผู้บริหารระดับสูง 4 ท่าน ซึ่งเป็นแม่ทัพหลักในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีและนวัตกรรมของกรุงศรี ได้ร่วมกันฉายภาพกลยุทธ์เชิงลึกในแต่ละด้าน สะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นหัวใจของการสร้างชีวิตที่ง่ายขึ้นให้กับทุกคน

ประเด็นที่โดดเด่นและเป็นรูปธรรมที่สุดจากการประกาศวิสัยทัศน์ครั้งนี้ คือการนำ Data และ AI มาใช้เป็นอาวุธสำคัญในการสร้างประโยชน์ที่จับต้องได้ ไม่ใช่เพียงเพื่อการเติบโตทางธุรกิจ แต่ยังขยายผลไปสู่การดูแลสังคมโดยรวม
ตุลย์ โรจน์เสรี ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ระดับองค์กร ให้ภาพว่า กรุงศรีไม่ได้มอง AI เป็นเพียงเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่เป็นเครื่องมือที่ต้องตั้งอยู่บนรากฐานข้อมูลที่แข็งแกร่ง (AI is nothing without data) โดยได้จัดตั้งทีม “กุนซือ AI” หรือศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Excellence) ขึ้นมาเพื่อกำกับดูแลและส่งเสริมนวัตกรรมอย่างมีธรรมาภิบาล
สิ่งที่น่าสนใจคือการนำ AI มาประยุกต์ใช้ใน 3 แกนหลัก ได้แก่ 1. People: พัฒนาเครื่องมือภายในองค์กร เช่น “Data ปรึกษา” ที่ช่วยให้พนักงานสามารถพูดคุยหรือสอบถามข้อมูลที่ซับซ้อนด้วยภาษาพูดธรรมดา ลดขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยาก 2. Business: ใช้ AI ในกระบวนการพิจารณาสินเชื่อ (Underwriting) และตรวจจับการทุจริต (Fraud Detection) เพื่อเพิ่มความแม่นยำและปลอดภัยให้กับลูกค้า และ 3. Society: ซึ่งเป็นมิติที่สร้างแรงกระเพื่อมอย่างยิ่ง คือการที่กรุงศรี เป็นธนาคารแห่งแรกของไทยที่เชื่อมต่อข้อมูลกับตำรวจสอบสวนกลางแบบเรียลไทม์ เพื่อต่อสู้กับอาชญากรรมทางการเงิน ทำให้กระบวนการอายัดบัญชีของมิจฉาชีพที่เคยใช้เวลาหลายวัน ลดลงเหลือเพียงไม่กี่นาที เพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้เงินคืนมากขึ้น ถือเป็นการยกระดับความรับผิดชอบของสถาบันการเงินที่มีต่อสังคมอย่างแท้จริง
เบื้องหลังความสำเร็จ: การเดินทางผ่าน 3 เฟสแห่งการทรานส์ฟอร์ม
วิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่นี้ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่คือการเดินทางที่กรุงศรีวางรากฐานมาอย่างต่อเนื่องผ่านแผนธุรกิจระยะกลาง (MTBP) 3 ระยะ ซึ่ง สายสุนีย์ หาญประเทืองศิลป์ ประธานกลุ่มสนับสนุนธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล กล่าวว่า เปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ที่ประกอบกันขึ้นมาเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน
- เฟสแรก (2018-2020): มุ่งเน้นไปที่ Digital Focus ขยายช่องทางบริการดิจิทัลให้ครอบคลุมและเข้าถึงง่ายที่สุด เพื่อรองรับลูกค้าจำนวนมหาศาล
- เฟสที่สอง (2021-2023): เข้าสู่ช่วง Modernize IT เป็นการยกเครื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีครั้งใหญ่ พร้อมปรับโครงสร้างองค์กรให้พร้อมรับกับการขยายตัวในระดับภูมิภาค
- เฟสที่สาม (2024-2026): คือช่วงเวลาปัจจุบันที่เข้มข้นที่สุด เป็นการ Transformation อย่างเต็มรูปแบบ ในทุกมิติ ทั้ง Core Banking, Data, AI และ Cloud ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่จะส่งผลให้กรุงศรีเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
การวางแผนระยะยาวนี้สะท้อนให้เห็นว่า กรุงศรีไม่ได้ไล่ตามกระแสเทคโนโลยี แต่เป็นการสร้างรากฐานจากภายในอย่างเป็นระบบ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกการเปลี่ยนแปลงจะนำไปสู่เป้าหมายหลักคือการ “ทำให้ชีวิตลูกค้าง่ายได้ทุกวัน” (Make Life Simple)
ปรับทัพโครงสร้างพื้นฐานไอทีสู่แนวคิด “Leaner-Simpler-In-line with Business”
เพื่อให้การทรานส์ฟอร์มเกิดขึ้นได้จริง พชร วันรัตน์เศรษฐ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ย้ำถึงการลงทุนมหาศาลเพื่อปรับโครงสร้างพื้นฐานไอที โดยยึด 3 หลักการสำคัญ คือ Leaner (ลดความซับซ้อนของแอปพลิเคชัน) Simpler (ทำให้กระบวนการกระชับและง่ายขึ้น) และ In-line with Business (สอดคล้องกับทิศทางธุรกิจ)
โครงการสำคัญอย่าง “Jupiter” ถูกกล่าวถึงในฐานะโปรแกรมการทรานส์ฟอร์มระดับธนาคาร ที่ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนระบบไอที แต่คือการเปลี่ยนกระบวนการทำงานตั้งแต่หน้าบ้านถึงหลังบ้าน โดยมีไอทีเป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือการสร้างสถาปัตยกรรมแบบ Microservices ที่สามารถนำบริการต่างๆ กลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) ได้อย่างรวดเร็ว ลดเวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และเพิ่มความคล่องตัวให้กับองค์กร
นวัตกรรมดิจิทัลเพื่อภาคธุรกิจ: “เรื่องเงินให้เราดูแล”
ในยุคที่ธุรกิจต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนรอบด้าน ทศพร เอกบุตร ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านดิจิทัลและนวัตกรรม ชี้ให้เห็นว่า กรุงศรีพร้อมเป็นผู้ช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถโฟกัสกับสิ่งที่ตนเองถนัดที่สุด ภายใต้แนวคิด “เรื่องเงินให้เราดูแล” ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ตอบโจทย์ธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่บริการ Krungsri Biz Online สำหรับธุรกิจเล็ก ไปจนถึง Banking as a Service ที่ช่วยให้ธุรกิจขนาดใหญ่สามารถเชื่อมต่อระบบการเงินเข้ากับระบบของตนเองได้อย่างไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็น e-Tax, e-Document หรือ e-Receipt
ความสำเร็จของแพลตฟอร์มเหล่านี้การันตีด้วยจำนวนพันธมิตรที่เชื่อมต่อกว่า 1,200 ราย และมีปริมาณธุรกรรมสูงถึง 90 ล้านครั้งต่อปี ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าเทคโนโลยีของกรุงศรีสามารถช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นจริง
ท้ายที่สุดแล้ว คุณสายสุนีย์ ได้ขมวดปมทั้งหมดไว้อย่างน่าสนใจว่า การจะสร้างอนาคตที่ยั่งยืนได้นั้น กรุงศรีไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง แต่ต้องอาศัย “Collaboration” หรือความร่วมมือกับพันธมิตรทุกภาคส่วน ทั้ง Solution Partner สตาร์ตอัพ และที่สำคัญที่สุดคือลูกค้า เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรมและเติบโตไปด้วยกันอย่างมั่นคง
ภาพทั้งหมดที่กรุงศรีนำเสนอในวันนี้ จึงไม่ใช่แค่การประกาศวิสัยทัศน์ด้านไอที แต่คือคำมั่นสัญญาที่จะใช้เทคโนโลยีเป็นพลังในการขับเคลื่อนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ธุรกิจ และสังคม ให้ง่ายขึ้นในทุก ๆ วันอย่างยั่งยืน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Axons-AWS สร้างแอป ‘Farm One’ เพิ่มคุณภาพเกษตรกรไทยด้วย AgriTech
‘CodeVenture’ สตาร์ตอัพไทย เปลี่ยนการสอนโค้ดดิ้งเด็กให้เป็นเกม




