ภูมิทัศน์ของธุรกิจบทวิเคราะห์หลักทรัพย์กำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญ ยุคที่บทวิเคราะห์ของทุกบริษัทหลักทรัพย์แทบจะมีหน้าตาเหมือนกันกำลังจะจบลง ภาพจำของนักวิเคราะห์ที่เข้าร่วมการประชุมกลุ่มกับบริษัทจดทะเบียน แล้วกลับมาเขียนรายงานที่หน้าตาแทบจะเหมือนกันทุกฉบับ กำลังถูกท้าทายอย่างหนัก เมื่อแต้มต่อแบบเดิมหมดไป เนื่องจากปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนหันมาจัดประชุมกลุ่มครั้งเดียว ทำให้นักวิเคราะห์ทุกค่ายได้ข้อมูลพร้อมกัน
ทีมผู้บริหารจาก บมจ.หลักทรัพย์บัวหลวง (BLS) นำโดย พิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ ธนัทเทพจันทรกานต์ กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าสายงานวิจัย และ ชาญณรงค์ มีชัยเจริญ ยิ่งผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุนเพื่อบริหารความมั่งคั่ง พบสื่อเพื่อเปิดเผยการเดิมพันครั้งใหม่กับการฉีกกรอบการทำวิจัย ด้วยการชูนวัตกรรมเป็นธงนำ เพื่อสร้างสัญลักษณ์เฉพาะตัว หรือจุดยืนที่แตกต่าง
แกนหลักของนวัตกรรมนี้ แบ่งออกเป็น 2 เสาหลัก ที่ไม่ได้มาแทนที่นักวิเคราะห์ แต่มาเพื่อติดอาวุธให้พวกเขา
เสาหลักที่ 1: การวิจัยปฐมภูมิ – เมื่อข้อมูลสดชนะปัญญาประดิษฐ์
ธนัทเทพ จันทรกานต์ กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าสายงานวิจัย อธิบายว่า นี่คือการลุกขึ้นมาทำวิจัยภาคสนาม คล้ายกับการสำรวจความคิดเห็น แต่เจาะลึกในมุมมองการลงทุน เพื่อให้ได้ข้อมูลสด ที่ปัญญาประดิษฐ์หรือเครื่องมือค้นหา หาไม่ได้ เพราะปัญญาประดิษฐ์ใช้ข้อมูลทุติยภูมิ ที่เป็นสาธารณะ ซึ่งอาจไม่ถูกต้อง แต่นี่คือข้อมูลปฐมภูมิ ที่บัวหลวงสร้างขึ้นเอง
ผลงานของนวัตกรรมนี้ที่ออกมาแล้ว สะท้อนให้เห็นผ่านบทวิเคราะห์หลายชุด เริ่มจาก ตอนที่ 1 ศึกพรีเมียร์ลีก ที่เจาะลึกในช่วงที่ โมโน แย่งลิขสิทธิ์ฟุตบอลจากทรู โดยทีมวิจัยได้ลงสำรวจแฟนบอลจริงว่า “จะย้ายค่ายไหม” และ “ยอมจ่ายเท่าไหร่” ผลที่ได้ถูกนำมาวิเคราะห์และออกเป็นคำแนะนำการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้อง
ต่อเนื่องด้วย ตอนที่ 2 การบริโภคในประเทศซึ่งทำสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งออกมาสอดรับกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และ ตอนที่ 3 การประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในบริษัทไทย นี่คือผลสำรวจชิ้นสำคัญที่สะท้อนภาพชัดเจน
คุณธนัทเทพ ชี้ว่าผลสำรวจจาก 90 บริษัท ซึ่งคิดเป็น 60% ของมูลค่าตลาด พบว่า ไทยยังอยู่แค่ระยะเริ่มต้น โดยในแกนวัดความพร้อมขององค์กรในการใช้ปัญญาประดิษฐ์ ไทยได้เพียง 1.9 เต็ม 3 คะแนน และแกนผลตอบแทน ได้เพียง 0.6-0.7 เต็ม 3 ผลลัพธ์ที่น่ากังวลคือ ปัญญาประดิษฐ์ช่วยเพิ่มกำไรสุทธิให้บริษัทไทยเพียง 2-2.5% เท่านั้น สวนทางกับในยุโรปหรืออเมริกาที่ผลตอบแทนจากการลงทุน จากการใช้ปัญญาประดิษฐ์อาจสูงถึง 70%
นอกจากนี้ ยังพบว่างบประมาณด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของไทยที่ส่วนใหญ่เทไปที่ความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งถูกมองเป็นการป้องกัน ที่ไม่สร้างรายได้ ขณะที่ต่างชาติมุ่งใช้งบปัญญาประดิษฐ์ เพื่อสร้างรายได้
เสาหลักที่ 2: การวิจัยเชิงข้อมูล
นี่คือเบื้องหลังสำคัญที่นำโดย ชาญณรงค์ มีชัยเจริญยิ่ง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ซึ่งเป็นการนำข้อมูลสำหรับสมาชิก หรือข้อมูลสาธารณะ มาทำความสะอาด ขจัดปัจจัยรบกวนออกให้หมด แล้วจัดเก็บในฐานข้อมูล เพื่อสร้างแบบจำลองการวิเคราะห์
หัวใจของส่วนนี้คือ การทำงานอัตโนมัติ คุณชาญณรงค์ ระบุว่า ปัจจุบัน BLS มีคำขอข้อมูลจากกองทุนต่างๆ จำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งของคำขอที่เป็นงานประจำ ถูกทำให้เป็นอัตโนมัติผลลัพธ์ที่ตามมาคือ นักวิเคราะห์ (ประมาณ 7-8 คน) ไม่ต้องเสียเวลาทำมือในงานประจำ แต่มีเวลาไปทำสิ่งที่สำคัญกว่า คือการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เขียนบทวิเคราะห์และโทรหาลูกค้า เพื่อขายแนวคิด ข้อมูลเหล่านี้จะถูกแสดงผลผ่านแพลตฟอร์มบทวิจัยดิจิทัลที่เข้าใจง่าย เช่น การจัดอันดับดาว ที่ให้ดาวหุ้นเหมือนโรงแรม (สูงสุด 6 ดาว) หรือ แผนภูมิเรดาร์ เพื่อให้นักลงทุนเห็นภาพรวมจุดแข็งจุดอ่อนได้ทันที
นวัตกรรมเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์กลยุทธ์ของบัวหลวงที่ชัดเจนว่ามุ่งเน้นลูกค้าระดับนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ระดับบน แม้จะมีฐานลูกค้ากว้างถึงประมาณ 700,000 บัญชี และมีสัดส่วนปริมาณการซื้อขาย จากลูกค้ารายย่อย ถึง75% ต่อสถาบัน 25% แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่มูลค่าทางธุรกิจ ซึ่งกว่า 80-83% มาจากลูกค้าระดับกลางถึงมั่งคั่ง
และนักลงทุนกลุ่มนี้เอง ก็มีปัญหาที่น่าสนใจ ซึ่งกลายเป็นโอกาสทางธุรกิจ นั่นคือ ความลังเล หรือ”ตัดสินใจไม่ได้” มีการระบุว่าลูกค้ากลุ่มนี้มีเยอะมาก พวกเขาจะตระเวนถามเพื่อนหรือผู้รู้หลายคนสุดท้ายเมื่อได้ความเห็นที่หลากหลาย ก็ไม่ได้ซื้อพวกเขาต้องการที่ปรึกษา หรือคนช่วยตัดสินใจให้หน่อย นี่จึงเป็นเหตุผลที่บริการอย่าง กองทุนส่วนบุคคล เติบโตขึ้นมาตอบโจทย์
คุณชาญณรงค์ อธิบายว่า สำหรับนักลงทุนระดับกลางถึงมั่งคั่งที่ต้องการให้ช่วยบริหารเงินลงทุนผ่านกองทุนส่วนบุคคล บัวหลวงให้บริการนี้โดยไม่คิดค่าจัดการ แต่ใช้ความเชี่ยวชาญ และเนื้อหา จากงานวิจัยมาสร้างรูปแบบพอร์ตการลงทุนให้ลูกค้าเลือก เช่น การลงทุนแบบหลายสินทรัพย์ หรือการลงทุนด้วย DR เป็นต้น
โจทย์ใหญ่: เมื่อตลาดหุ้นไทยเป็นเศรษฐกิจยุคเก่า
การปรับกลยุทธ์นี้ยังสอดรับกับโจทย์ใหญ่ของนักลงทุนไทยในปัจจุบัน คุณธนัทเทพ วิเคราะห์ว่า ตลาดหุ้นไทยถูกมองว่าเป็นเศรษฐกิจยุคเก่า โดยมีสัดส่วนหุ้นเศรษฐกิจยุคใหม่ เพียง 20% ของมูลค่าตลาด เทียบกับจีนที่มีกว่า 50% ปัญหาเชิงโครงสร้างคือ ประเทศไทยเป็นผู้ใช้ ไม่ใช่ผู้สร้าง บริษัทเทคโนโลยีหรือธุรกิจเกิดใหม่ของไทยมักมีขนาดเล็ก ไม่สามารถขยายขนาดได้ และมองแค่ตลาดในประเทศ ต่างจากในอิสราเอล ที่มีการยกตัวอย่างว่าธุรกิจเกิดใหม่ของเขาไม่เคยมองตลาดในประเทศ (ประชากร 20-30 ล้านคน) แต่มองไปที่อเมริกา หรือตลาดโลก ตั้งแต่วันแรก
เมื่อผลตอบแทน 10 ปีของตลาดหุ้นไทย (ไม่รวมปันผล) แทบจะเป็นศูนย์ นักลงทุนจึง “เปิดใจ” มองหาการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น นวัตกรรมงานวิจัยจึงถูกใช้เพื่อสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์นี้ คุณชาญณรงค์ชี้ว่า ใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิง (DR) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงกับหุ้นต่างประเทศ ได้เข้ามาแก้ปัญหาเรื่องภาษีที่นักลงทุนกังวล ทำให้ตลาด DR เติบโตมหาศาล จากมูลค่าซื้อขายวันละ 500 ล้านบาท ในไตรมาส 1 พุ่งเป็น 1,500 ล้านบาทต่อวัน ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา และสินทรัพย์รวมของตลาด โตจาก 3.5 หมื่นล้าน เป็น 5.2 หมื่นล้าน ในช่วงเวลาเดียวกัน
ในอีกด้านหนึ่งของตลาด ภูมิทัศน์ของนักลงทุนกำลังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยมีเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อน คุณธนัทเทพ ชี้ว่า เทคโนโลยีได้ผลักดันการทำให้เข้าถึงง่าย ทำให้นักลงทุนคนรุ่นใหม่ สามารถซื้อขายด้วยเงินเพียง 500 หรือ 1,000 บาทต่อครั้งได้ พฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ก็น่าสนใจ พวกเขาไม่ได้เสียเวลาสนทนา หรือถกเถียงว่า หุ้น หรือ สินทรัพย์ดิจิทัล ดีกว่ากัน แต่พวกเขากระโดดเข้าไปเลย หลายคนเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง เช่น การลงทุนในบิตคอยน์ หรือ เอ็นเอฟที และบาดเจ็บจริง อย่างไรก็ตาม แม้จะมีนักลงทุนรุ่นใหม่ (อายุน้อยกว่า 40) เข้ามามาก แต่ มูลค่าการซื้อขายต่อครั้ง ยังเล็ก กลุ่มที่ยังคงมี มูลค่าการซื้อขายต่อครั้ง ใหญ่ คือกลุ่มนักลงทุนอายุ 40 ปีขึ้นไป
อนาคตของนักวิเคราะห์: อยู่อย่างไรไม่ให้ถูกปัญญาประดิษฐ์สร้างผลกระทบ
สำหรับอนาคตของนักวิเคราะห์ท่ามกลางยุคปัญญาประดิษฐ์ คุณชาญณรงค์ยอมรับว่า แม้วันนี้ปัญญาประดิษฐ์ อาจยังไม่ถึงขั้นสร้างผลกระทบ แต่วันข้างหน้าอาจเกิดขึ้น หนทางรอดคือ ต้องสร้างข้อมูลให้ลึก
ด้าน คุณธนัทเทพ เสริมว่า บัวหลวงมองปัญญาประดิษฐ์เป็นเพียงตัวเสริม ไม่ใช่ตัวสร้างผลกระทบในอนาคต บัวหลวงจะใช้ปัญญาประดิษฐ์เจเนอเรทีฟ มาช่วยประมวลผลบนฐานข้อมูลที่ลึก ของตนเองแต่กระบวนการสุดท้าย นักวิเคราะห์ต้องตรวจสอบก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าผลลัพธ์ที่ออกไปมีคุณภาพและแม่นยำสูงสุด ก่อนจะส่งถึงมือนักลงทุน
โดยสรุป หลักทรัพย์บัวหลวงกำลังปรับกระบวนทัพการทำบทวิเคราะห์ครั้งใหญ่ โดยเปลี่ยนจากการทำวิจัยแบบดั้งเดิมที่นักวิเคราะห์ได้ข้อมูลพร้อมกันมาสู่การสร้างสัญลักษณ์เฉพาะตัว ผ่านสองนวัตกรรมหลัก คือ การวิจัยปฐมภูมิ ที่สร้างข้อมูลเชิงลึกเฉพาะตัว และ การวิจัยเชิงข้อมูล ที่ใช้ระบบอัตโนมัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงาน
กลยุทธ์นี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ปัญญาประดิษฐ์ ในฐานะผู้ทดแทน แต่ในฐานะผู้ช่วย ที่ต้องถูกตรวจสอบโดยมนุษย์ ทั้งหมดนี้เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของฐานลูกค้าระดับบน ที่ต้องการแนวทางเฉพาะตัว เช่น กองทุนส่วนบุคคล และ DR ในภูมิทัศน์การลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งนักลงทุนเปิดใจสู่ต่างประเทศมากขึ้น และผู้เล่นหน้าใหม่ (คนรุ่นใหม่) เข้าสู่ตลาดด้วยพฤติกรรมที่แตกต่างจากเดิม




