Share on
×

Share

‘WashXpress’ กับเคล็ดลับสร้างอาณาจักรซักผ้า 500 สาขา โดยไม่พึ่งแฟรนไชส์

WashXpress กับเคล็ดลับสร้างอาณาจักรซักผ้า 500 สาขา โดยไม่พึ่งแฟรนไชส์

ขณะที่คู่แข่งในอุตสาหกรรมร้านสะดวกซักต่างเร่งสปีดขยายสาขาผ่านโมเดล ‘แฟรนไชส์’ WashXpress กลับเลือกที่จะเติบโตอย่างสุขุมด้วยการลงทุนและบริหารเองเกือบทั้งหมด การตัดสินใจที่ดูสวนกระแสนี้เองที่กลายเป็น ‘หมัดเด็ด’ ในการสร้างอาณาจักร 548 สาขา และป้อมปราการแห่งความไว้วางใจที่คู่แข่งยากจะทลาย

บนเวที Scale Fast กวิน กลองกระโทก ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลอนดรี้ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ WashXpress แบรนด์ร้านสะดวกซักครบวงจรในประเทศไทย ได้มาเปิดเผยเบื้องหลังความคิดที่ว่า ทำไมการ “ควบคุม” ประสบการณ์ของลูกค้าทุกกระเบียดนิ้ว คือกลยุทธ์ในการสร้างความเป็นผู้นำที่ยั่งยืน

กลยุทธ์‘สวนกระแส’ – ทำไมต้องเป็นเจ้าของเอง?

หัวใจของความสำเร็จที่ทำให้ WashXpress แตกต่าง คือการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่สวนกระแสที่สุดในอุตสาหกรรม นั่นคือ การไม่ขายแฟรนไชส์ คุณกวินอธิบายว่า แม้แฟรนไชส์จะเป็นทางลัดสู่การเติบโตที่รวดเร็ว แต่สำหรับธุรกิจบริการที่เดิมพันทุกอย่างกับความสะอาดและมาตรฐาน โมเดลดังกล่าวกลับมีความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ เพราะเป้าหมายของแฟรนไชส์ซีอาจขัดแย้งกับปรัชญาของแบรนด์ การเลือกที่จะลงทุนและบริหารเองทั้งหมดจึงไม่ใช่แค่การเติบโตที่ช้าลง แต่คือการลงทุนในคำมั่นสัญญาที่แบรนด์มีต่อลูกค้า เพื่อรับประกันว่าประสบการณ์ที่ดีที่สุดจะเกิดขึ้นเหมือนกันในทุกสาขา

ปรัชญาการควบคุมคุณภาพอย่างสมบูรณ์แบบนี้ มีรากฐานที่หยั่งลึกมาจากจุดเริ่มต้นของแบรนด์โดยตรง มันคือคำตอบของความตั้งใจที่จะไม่มีลูกค้าคนไหนต้องเผชิญกับประสบการณ์เลวร้ายเหมือนที่คุณกวินเคยเจอในอดีต การเป็นเจ้าของเองจึงเป็นวิธีเดียวที่จะรับประกันได้ว่าเครื่องซักผ้าทุกเครื่องจะสะอาด พนักงานทุกคนจะได้รับการฝึกอบรมมาอย่างดี และมาตรฐานสูงสุดจะถูกรักษาไว้เสมอ นี่ไม่ใช่แค่โมเดลธุรกิจ แต่คือการออกแบบองค์กรทั้งระบบเพื่อทำภารกิจเดียวให้สำเร็จ นั่นคือการมอบความไว้วางใจและความสะอาดที่สมบูรณ์แบบที่สุดให้กับลูกค้า

เมื่อ Pain Point ของผู้ก่อตั้งกลายเป็น Mission ของแบรนด์

เบื้องหลังปรัชญาที่ยึดมั่นในความสะอาด คือความทรงจำอันฝังใจจากประสบการณ์ตรงของผู้ก่อตั้งเอง คุณกวินได้ย้อนเล่าถึงชีวิตนักศึกษาในหอพัก ที่ความหวังที่จะได้เสื้อผ้าที่สะอาดหมดจดกลับพังทลายลง “จากชุดนักศึกษาที่ขาว ๆ กลายเป็นเหลืองเลย แล้วก็มีเศษอะไรไม่รู้ติดเสื้อผ้าเราด้วย” เขาเล่าถึง Pain Point จากเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญที่ขาดการดูแล ซึ่งไม่ได้ทิ้งไว้แค่คราบบนเสื้อผ้า แต่ยังทิ้งความรู้สึกไม่มั่นใจและความกังวลใจเอาไว้ด้วย

ความรู้สึกไม่มั่นใจในวันนั้น ได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นภารกิจ (Mission) ที่แข็งแกร่งของ WashXpress นั่นคือการสร้างร้านสะดวกซักที่ลูกค้าสามารถไว้วางใจในความสะอาดได้อย่างสมบูรณ์แบบ และภารกิจนี้เองที่ได้กลายเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้แบรนด์เลือกเดินบนเส้นทางที่ยากกว่า ด้วยการปฏิเสธโมเดลแฟรนไชส์ เพราะพวกเขาเชื่อว่าการควบคุมมาตรฐานความสะอาดให้ได้ 100% ในทุกสาขา จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบริษัทเป็นผู้ลงทุนและดูแลเองเท่านั้น

พิมพ์เขียวแห่งประสบการณ์: Better, Faster, Cheaper

เมื่อมีภารกิจที่ชัดเจนแล้ว WashXpress ได้แปรเปลี่ยนมันให้กลายเป็นประสบการณ์ที่จับต้องได้ ผ่านพิมพ์เขียวในการออกแบบบริการที่ยึดหลัก 3 ประการ คือ Better, Faster, และ Cheaper

Better: มาตรฐานความสะอาดที่เหนือกว่า

เพื่อลบภาพจำอันเลวร้ายจากเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญในอดีต WashXpress ได้ทุ่มเทเพื่อสร้างมาตรฐานความสะอาดที่ไร้ข้อกังขา พนักงานจะเข้าทำความสะอาดร้านทุกวันตามเช็กลิสต์กว่า 80 จุด น้ำที่ใช้จะผ่านระบบกรองก่อนเข้าเครื่อง และที่สำคัญคือมีบริการล้างถังด้วยน้ำร้อนฟรี เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจสูงสุดก่อนนำผ้าลงซัก และผลลัพธ์ที่น่าทึ่งของคุณภาพนี้ ได้สะท้อนผ่านเรื่องราวของคุณแม่ท่านหนึ่งที่เดินเข้ามาขอบคุณทีมงาน เพราะลูกสาวที่เป็นนักศึกษาพยาบาลและป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ มีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลังจากนำผ้าปูที่นอนและผ้าห่มมาซักอบที่ร้านเป็นประจำ ซึ่งตอกย้ำว่าความสะอาดของ WashXpress ไม่ได้มอบแค่เสื้อผ้าที่สดใส แต่ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้จริง

Faster: ให้คุณค่ากับ ‘เวลา’ ของลูกค้า

WashXpress เข้าใจว่าความเร็วจริง ๆ ไม่ได้วัดที่รอบการซัก แต่คือเวลาทั้งหมดที่ลูกค้าต้องเสียไปกับการรอคอย พวกเขาจึงได้ริเริ่มบริการสะบัดผ้าที่ลูกค้าสามารถนำผ้ามาฝากให้พนักงานเป็นผู้ดูแลนำเข้าเครื่องซัก-อบ และพับให้เรียบร้อยได้ บริการนี้ได้เปลี่ยนโฉมประสบการณ์การซักผ้า จากที่เคยเป็นภารกิจที่ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง ให้กลายเป็นการแวะทำธุระเพียงไม่กี่นาที

Cheaper: นิยามใหม่ของคำว่า ‘ความคุ้มค่า’

ในขณะที่ตลาดแข่งขันกันด้วยราคา WashXpress เลือกที่จะแข่งขันด้วยความคุ้มค่า (Value for Money) พวกเขาไม่ได้ตั้งเป้าที่จะเป็นร้านที่ถูกที่สุด แต่คือร้านที่มอบคุณค่าที่ดีที่สุด นั่นคือการมอบเวลาคืนให้กับลูกค้า เวลาที่ประหยัดได้จากการไม่ต้องซักผ้าเองหรือนั่งรอ สามารถนำไปใช้พักผ่อน อยู่กับครอบครัว หรือพัฒนาตนเองได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเมินค่าเป็นตัวเงินไม่ได้ และเป็นความคุ้มค่าที่แท้จริงที่แบรนด์ต้องการจะส่งมอบ

เครื่องยนต์ภายใน: ปลูกฝัง DNA และพลังของทีมงาน

การรักษามาตรฐานสูงสุดใน 500 กว่าสาขาเป็นภารกิจที่ท้าทาย และจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดทีมงานที่แข็งแกร่ง คุณกวินได้เล่าถึงบทเรียนครั้งสำคัญในการบริหารคนที่เปลี่ยนมุมมองของเขาไปตลอดกาล จากในอดีตที่เคยตำหนิพนักงานเมื่อพบข้อบกพร่อง เขากลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เราลืมไปว่าเราซัพพอร์ตเขามากพอหรือยัง”

คำถามนั้นได้นำไปสู่การตกผลึกทางความคิดว่า ‘พนักงานคือลูกค้าคนสำคัญที่สุด’ ที่องค์กรต้องดูแลและสนับสนุนเป็นอย่างดี นับจากนั้น WashXpress จึงทุ่มเทให้กับการสร้างระบบสนับสนุนที่แข็งแกร่ง ตั้งแต่การฝึกอบรมเพื่อปลูกฝัง “Customer DNA” การจัดหาเครื่องมือที่ครบครัน, ไปจนถึงการพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อช่วยให้พนักงานทำงานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพขึ้น เพราะพวกเขาเชื่อว่าทีมงานที่มีความสุขและได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่เท่านั้น ที่จะสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดต่อไปยังลูกค้าได้

เรื่องราวของ WashXpress จึงเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า ความสำเร็จที่ยั่งยืนไม่ได้มาจากคู่แข่ง แต่มาจากความเข้าใจในความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง และในธุรกิจบริการ การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งที่สุด คือการสร้างโมเดลธุรกิจที่สามารถควบคุม “ประสบการณ์” ของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตั้งแต่คุณภาพของเครื่องจักรไปจนถึงคุณภาพการบริการของพนักงานทุกคน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

สรุปเทรนด์การตลาดบน YouTube ที่แบรนด์และครีเอเตอร์ต้องรู้ปี 2025

วิกฤติและทางรอด: อนาคตครีเอเตอร์ไทย ในวันที่ AI เปลี่ยนโลก

×

Share

ผู้เขียน