Share on
×

Share

ภาคเอกชนเสนอสูตร ‘Unlock-Transform’ แก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจไทย

ภาคเอกชนเสนอสูตร ‘Unlock-Transform’ แก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจไทย

เวทีเสวนาหัวข้อ “พลิกเกมสู้เศรษฐกิจโลกป่วน” ภายในงานประกาศรางวัลสุดยอดซีอีโอประจำปี 2568 ของสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ร้อนระอุขึ้นทันที เมื่อ 3 แม่ทัพใหญ่จากภาคเอกชนไทย ได้แก่ ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ได้ประสานเสียงสะท้อนภาพความจริงของเศรษฐกิจไทยที่น่ากังวล พร้อมชำแหละปัญหาเชิงโครงสร้างที่กัดกินประเทศมานาน และยื่นข้อเสนอที่เฉียบขาดถึงรัฐบาลใหม่ว่า “เวลาของประเทศไทยเหลือน้อยแล้ว”

ประเด็นที่โดดเด่นและเป็นเสียงเรียกร้องร่วมกัน ไม่ใช่เพียงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่คือการ “ผ่าตัดใหญ่” ประเทศไทย ด้วยแนวคิด “Unlock & Transform” เพื่อปลดปล่อยศักยภาพที่ถูกพันธนาการด้วยกฎระเบียบที่ล้าหลัง และปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจให้ทันโลก มิฉะนั้น ประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับภาวะเติบโตต่ำอย่างถาวร

เจาะลึก 3 ปัญหาเชิงโครงสร้าง: “เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย?”

คุณผยง เปิดประเด็นได้อย่างน่าสนใจและน่าตกใจ ด้วยการตั้งคำถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย?” พร้อมให้ข้อมูลที่ชี้ว่า ประเทศไทยกำลังอ่อนแอลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านในอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น

การเติบโตที่ต่ำกว่าศักยภาพ IMF คาดการณ์ว่าใน 5 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจไทยจะโตเฉลี่ยเพียง 2.7% ขณะที่ค่าเฉลี่ยของอาเซียนอยู่ที่ 4.5% ตอกย้ำว่าไทยเคยเป็นพี่ใหญ่ในภูมิภาค แต่ปัจจุบันกำลังถูกทิ้งห่าง

ไม่มีใครอยากลงทุนในประเทศ คุณผยงชี้ให้เห็นปรากฏการณ์ “เงินไหลออก” ที่น่ากังวล ทั้งบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่นำเงินไปลงทุนต่างประเทศ การลงทุนในต่างประเทศผ่านกองทุน FIF ที่โตอย่างต่อเนื่อง และสภาพคล่องมหาศาลในระบบธนาคารกว่า 5 ล้านล้านบาท ที่ไม่ได้ถูกนำไปหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่ม SME ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของการจ้างงาน

และโครงสร้างเศรษฐกิจที่บิดเบี้ยว ภาคเอกชนไทยมีโครงสร้างที่ไม่สมดุลอย่างยิ่ง โดยบริษัทขนาดใหญ่เพียง 1% สร้าง GDP ได้ถึง 65% แต่มีการจ้างงานน้อย ในขณะที่ SME ซึ่งมีสัดส่วนมหาศาลและจ้างงานคนกว่า 70% กลับสร้าง GDP ได้เพียง 30% สะท้อนให้เห็นว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาไม่ได้กระจายสู่คนส่วนใหญ่อย่างทั่วถึง

ทางรอดประเทศไทย: ปลดล็อก (Unlock) และปฏิรูป (Transform)

เมื่อเห็นภาพปัญหาชัดเจนแล้ว ข้อเสนอจากภาคเอกชนจึงมุ่งเป้าไปที่การแก้เกมในระยะยาว โดย ดร.พจน์ ได้ให้คีย์เวิร์ดที่สำคัญคือ “Unlock” และ “Transform” ซึ่งถูกขยายความต่อโดย คุณเกรียงไกร ด้วยกลยุทธ์ “4 Go”

1. ปลดล็อกศักยภาพ (Unlock) คือ การทลายกำแพงที่ขัดขวางการเติบโตของประเทศมานาน ประกอบด้วย

ปลดล็อกกฎระเบียบ ปฏิรูปกฎหมายที่ล้าสมัย เป็นอุปสรรคต่อการค้าการลงทุน ซึ่งท่านนายกฯ ได้รับทราบและให้ความสำคัญแล้ว ปลดล็อกการเข้าถึงทุน ช่วยเหลือธุรกิจฐานรากและเกษตรกรให้เข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเพิ่มความคล่องตัว และ ปลดล็อกการค้าระหว่างประเทศ เร่งเจรจา FTA ที่ค้างอยู่ให้สำเร็จโดยเร็ว ทั้งกับสหรัฐฯ, สหภาพยุโรป (EU) และอาเซียน-แคนาดา เพื่อเปิดตลาดใหม่ๆ ให้กับสินค้าไทย

2. ปฏิรูปโครงสร้าง (Transform) คือ การเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจและอุตสาหกรรมของประเทศให้มีมูลค่าสูงขึ้นและทันต่อเทรนด์โลกใหม่ ซึ่ง คุณเกรียงไกร ได้เสนอแนวทาง “4 Go” ที่ชัดเจน ได้แก่

  1. Go Digital and AI: เร่งผลักดันการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI ในทุกภาคส่วน พร้อมกับการ Reskill-Upskillบุคลากรให้มีทักษะที่จำเป็น
  2. Go Innovation: เปลี่ยนประเทศไทยจากการเป็นผู้รับจ้างผลิต (OEM) ไปสู่การเป็นผู้ออกแบบ (ODM) หรือสร้างแบรนด์ของตัวเอง (OBM) เพื่อหลุดจากกับดักรายได้ปานกลาง
  3. Go Global: แสวงหาและบุกเบิกตลาดใหม่ ๆ ทั่วโลก
  4. Go Green: ปรับตัวให้เข้ากับกติกาโลกใหม่ โดยเฉพาะเรื่องสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน

วาระแห่งชาติที่ต้องทำทันที: “คอร์รัปชันมะเร็งร้ายกัดกินประเทศ

ประเด็นที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นมะเร็งร้ายที่ทำลายประเทศอย่างมหาศาลคือ “คอร์รัปชัน” ดร.พจน์ ย้ำอย่างหนักแน่นว่าหากปัญหานี้ยังไม่ถูกแก้ไข การลงทุนจากต่างประเทศและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของคนไทยจะมีปัญหาอย่างมาก

และได้เรียกร้องให้รัฐบาลประกาศนโยบาย “Zero Corruption” เป็นวาระแห่งชาติ และเสนอให้พรรคการเมืองที่จะลงเลือกตั้งในอนาคต ชูนโยบายนี้เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของกกร. ที่จะผลักดันการเปิดเผย “Corruption Index” เพื่อให้การถกเถียงเรื่องนี้ตั้งอยู่บนฐานข้อมูลและข้อเท็จจริง นำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

ภาพระยะสั้นและความท้าทายเฉพาะหน้า

แม้จะมุ่งเน้นที่การแก้ปัญหาระยะยาว แต่ภาคเอกชนยังคงแสดงความกังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในระยะสั้น ทั้งตัวเลข GDP ในไตรมาส 4 ที่คาดว่าจะโตเพียง 0.3% และภาค การส่งออกและการท่องเที่ยว ที่ยังน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่หายไปอย่างมีนัยสำคัญ และปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าเกินไป ซึ่งกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยตรง

ข้อเรียกร้องเร่งด่วนถึงรัฐบาลคือการสร้าง “Quick Win” หรือมาตรการที่เห็นผลเร็ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน ทั้งนักลงทุนและประชาชน ควบคู่ไปกับการเดินหน้าปฏิรูปโครงสร้างในระยะยาว

บทสรุปจากเวทีนี้ชัดเจนว่า ภาคเอกชนไม่ได้มองรัฐบาลเป็นเพียงผู้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่คาดหวังให้เป็น “ผู้นำ” ในการผ่าตัดใหญ่ประเทศอย่างจริงจัง บอลลูกนี้ถูกส่งไปอยู่ในมือของรัฐบาลใหม่แล้วว่าจะมีความกล้าหาญทางการเมืองที่จะตัดสินใจในเรื่องยาก เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของประเทศไทยได้หรือไม่

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Uptober 2025 ทำไมเดือนตุลาคมอาจเป็นช่วงเวลาสำคัญของ Bitcoin

The Central พหลโยธิน: พลิกโฉมกรุงเทพฯ ตอนเหนือ สู่ New CBD แห่งอนาคต

รัฐบาลชั่วคราว ‘4+4 เดือน’ ต้องทำอะไร?

×

Share

ผู้เขียน