องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ร่วมกับบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด และภาคีความร่วมมือจากภาครัฐและเกษตรกรรายย่อย ร่วมฉลองความสำเร็จของความร่วมมือภาครัฐ-เอกชน ตลอดระยะเวลา 8 ปี ในโครงการ คอฟฟีพลัส (Coffee+) และ คอฟฟีดับเบิ้ลพลัส (Coffee++) โดยโครงการดังกล่าวได้ประสบความสำเร็จในการยกระดับคุณภาพชีวิตและความสามารถในการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ (Climate Resilience) ของผู้ปลูกกาแฟโรบัสตารายย่อยกว่า 2,200 ราย ในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย
ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่าง GIZ และ เนสท์เล่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561-2568 มีเป้าหมายหลักในการเสริมสร้างความรู้และทักษะให้กับเกษตรกร ผ่านหลักสูตร โรงเรียนธุรกิจสำหรับเกษตรกร (Farmer Business School – FBS) และการผนวกหลักปฏิบัติ “การเกษตรเชิงฟื้นฟู” (Regenerative Agriculture) เข้าไปในการจัดการสวนกาแฟอย่างเป็นระบบ
เธียรชัย ชูกิตติวิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ให้เกียรติกล่าวเปิดงานว่า “โครงการคอฟฟีพลัส และคอฟฟีดับเบิ้ลพลัส มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนแผนพัฒนาการผลิตกาแฟแห่งชาติปี 2565-2574 การบูรณาการความร่วมมือภาครัฐและเอกชนนี้ได้ช่วยให้ผู้ปลูกกาแฟรายย่อยหลายพันคนและชุมชนเกษตรกรมีความยืดหยุ่น และมีความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้ดียิ่งขึ้น”
เกษตรเชิงฟื้นฟู สร้างผลผลิต-รายได้ และปรับปรุงระบบนิเวศน์
ผลลัพธ์จากการดำเนินโครงการตลอด 8 ปี ได้แสดงให้เห็นผลเชิงบวกที่ชัดเจน ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม:
- เศรษฐกิจและสังคม: การนำแนวทางการเกษตรเชิงฟื้นฟูมาใช้ได้ช่วยเพิ่มผลผลิตและรายได้ ให้กับเกษตรกรในระยะสั้นและระยะยาว พร้อมทั้งสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
- สิ่งแวดล้อม: แนวทางนี้ช่วยให้เกษตรกรสามารถปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน และช่วยปรับปรุงคุณภาพดินและระบบนิเวศน์ ในบริเวณพื้นที่เพาะปลูกกาแฟให้ดียิ่งขึ้นอย่างยั่งยืน
พจมาน วงษ์สง่า ผู้อำนวยการโครงการ GIZ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “ความสำเร็จของโครงการคือ การสร้างแนวทางที่ยั่งยืนในการจัดการพื้นที่เกษตรเพื่อการปลูกกาแฟโรบัสตา ซึ่งแนวทางดังกล่าวได้รับการบูรณาการอยู่ในแผนทั้งในระดับประเทศและระดับจังหวัด เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับระบบการปลูกกาแฟโรบัสตาในพื้นที่”
ด้าน ฟิลิปป์ เกลาเซอร์ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายเทคนิคและอุตสาหกรรมการผลิต เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวว่า การทำงานร่วมกันครั้งนี้มีส่วนสนับสนุนให้เนสท์เล่บรรลุเป้าหมายของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2593 อีกด้วย
โครงการดังกล่าวได้สร้างแพลตฟอร์มสำคัญที่ทำให้แนวทางการเกษตรเชิงฟื้นฟูถูกบูรณาการเข้าสู่แผนพัฒนากาแฟโรบัสตาอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในระดับจังหวัดชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ และระนอง ซึ่งเป็นพื้นที่เพาะปลูกกาแฟหลัก
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ตลท. พลิก ‘ภาระ’ คาร์บอนเป็น ‘สินทรัพย์’ ด้วย SETCarbon มาตรฐานอบก.
ไทยพัฒน์เจาะ IFRS S1/S2 แนะใช้ AI ทำรายงานความยั่งยืน




