Share on
×

Share

ถอดรหัส Ethereum: ทำไมราคา ‘Underperform’ สวนทางปัจจัยพื้นฐาน?

ถอดรหัส Ethereum: ทำไมราคา 'Underperform' สวนทางปัจจัยพื้นฐาน?

ในระยะที่ผ่านมา ท่ามกลางการปรับตัวสูงขึ้นของตลาดสกุลเงินดิจิทัลรอบล่าสุด ดูเหมือนว่าราคาของ Ethereum (ETH) กลับทำผลงานได้ “Underperform” พอสมควร โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเหรียญหลักอื่น ๆ อย่าง Bitcoin หรือ Solana ปรากฏการณ์นี้ได้นำมาซึ่งคำถามสำคัญเกี่ยวกับอนาคตของเหรียญที่เคยถูกยกให้เป็นรากฐานสำคัญของ Web3, DeFi และ Stablecoin

ในวงเสวนาของผู้เชี่ยวชาญ นำโดย ภากร ภู่ทรานนท์ ผู้เชี่ยวชาญและผู้สนับสนุน Ethereum (Ethereum Maxi) และ อรรณวุฒิ ลีไพศาลสุวรรณา Technical Coordinator ของโครงการ Lean Ethereum กับบริษัท Ream Labs ได้มีการวิเคราะห์ถึงประเด็นนี้ไว้อย่างน่าสนใจ

ภาวะ “ตายใจ” เบรกการพัฒนา?

คุณอรรณวุฒิ กล่าวว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ Ethereum ดูเหมือนจะชะลอตัวลง อาจมาจากสิ่งที่เรียกว่า “ความตายใจ” เขามองว่าในอดีต Ethereum ถูกใช้งานอย่างมากในแวดวงวิทยาศาสตร์และงานวิจัย แต่เมื่อตลาดเริ่มมีคู่แข่งอย่าง Solana หรือเหรียญอื่นๆ เข้ามา ประกอบกับภาวะตลาดแตก ชุมชนของ Ethereum กลับมี perception ที่รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องแข่งขันหรือเร่งพัฒนาเร็วขนาดนั้น ทัศนคตินี้จึงอาจส่งผลให้การวิจัยและพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ออกมาล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น

ปัจจัยหนุนที่รออยู่: สถาบันจ่อ “Supply Squeeze”

อย่างไรก็ตาม แม้จะดูเหมือนเคลื่อนไหวช้า แต่ในมุมมองของคุณภากร Ethereum ยังมีปัจจัยเรื่อง ดีมานด์ ที่แข็งแกร่งรออยู่ โดยเฉพาะการเข้ามาของสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม เขาระบุว่ามีบริษัทอย่าง Bitkub และ SharkLink Gaming ที่กำลังจะเข้ามา “ดูด” เหรียญ Ethereum เข้าไปเก็บไว้ในบัญชี พฤติกรรมนี้จะส่งผลโดยตรงต่อ Capital Flow และทำให้ circulating supply ในตลาดหายไป จนเมื่อถึงจุดหนึ่ง อาจเกิดภาวะที่เรียกว่า “squeeze supply” ซึ่งจะทำให้อุปทานตึงตัวและผลักดันให้ราคาพุ่งสูงขึ้นได้

ศึก “Ethereum Killer”: ทำไมสถาบันยังเลือก ETH?

ภากร ภู่ทรานนท์ ผู้เชี่ยวชาญและผู้สนับสนุน Ethereum (Ethereum Maxi)
ภากร ภู่ทรานนท์ ผู้เชี่ยวชาญและผู้สนับสนุน Ethereum (Ethereum Maxi)

ในประเด็นเรื่องคู่แข่งที่ถูกขนานนามว่า “Ethereum Killer” อย่าง Solana คุณภากรชี้ว่า ในแง่ของ infrastructureEthereum ยังคงไม่เป็นรอง ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถาบันการเงินยังคงเลือกใช้ Ethereum คือ “ความเสถียร”

เขากล่าวว่า Solana มีประวัติเครือข่ายล่มแทบทุกปี ในขณะที่การนำสินทรัพย์มาทำ token ในอนาคตนั้น จำเป็นต้องพึ่งพาการคำนวณ Yield ที่อ้างอิงเวลาจากบล็อก ซึ่งจะเป็น Grid-based หากบล็อกเชนล่มหรือไม่สามารถรักษา Uptime ได้ 100% การคำนวณ Yield ก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่สถาบันการเงินระดับ Institutional Grade ยังคงเลือกใช้ Ethereum เป็น Settlement Layer

คุณอรรณวุฒิ ได้เสริมประเด็นเรื่อง decentralization โดยตั้งข้อสังเกตว่า Solana อาจมี Validator ที่มีความสำคัญจริง ๆ เพียง 100-200 ราย ซึ่งหากไม่สามารถกระจายศูนย์ได้อย่างแท้จริง ก็อาจไม่ต่างจากการใช้บริการแบบรวมศูนย์อย่าง Google Cloud

Killer App แห่งอนาคต: เมื่อ AI พบกับ “Nano Payment”

เมื่อมองไปยังอนาคต นอกเหนือจาก DeFi แล้ว ทั้งสองได้วิเคราะห์ถึง “Killer App” ตัวต่อไปที่จะเกิดขึ้นบนโลกคริปโท คุณภากรมองว่า เทคโนโลยี AI คือหนึ่งในนั้น ปัจจุบัน AI ยังมีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือ หรือ “Hallucinate” ซึ่ง solution บน Implementation Layer สามารถเข้ามาช่วยรับประกันการทำงานของ AI ได้

ขณะที่ คุณอรรณวุฒิชี้ไปที่แนวคิด “Nano Payment” หรือการจ่ายเงินในระดับที่เล็กมาก ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ Status code 402 (payment required) เขาอธิบายว่า โลกกำลังเปลี่ยนผ่านจากยุค “one time payment” มาสู่ยุค “subscription” แต่โมเดล subscription ก็ยังมีจุดอ่อน สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการใช้บริการเพียงครั้งเดียว (เช่น ใช้ Figma หรือ Photoshop แค่โปรเจกต์เดียว) แต่กลับต้องจ่ายค่าบริการเต็มเดือน อนาคตจึงอาจเป็นยุคของ “on demand” ที่ผู้ใช้สามารถจ่ายเงินในระดับที่เล็กมาก ( Nano payment) อาจจะแค่ “ปัดสตางค์” เพื่อเข้าถึงข้อมูลหรือบริการเพียงครั้งเดียวนั้น และเทคโนโลยี cryptocurrencyหรือ blockchain คือสิ่งที่ทำให้ transaction ในระดับนี้เป็นไปได้จริง

ปมขัดแย้ง Layer 2: โตแต่ปริมาณแต่ราคาเหรียญไม่ไปไหน

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือสถานการณ์ของโซลูชัน Layer 2 (L2) แม้ว่า L2 จะเติบโตอย่างมากทั้งในแง่ของ Volume, จำนวนธุรกรรม และ TVL แต่ราคาเหรียญของ L2 เอง (เช่น Arbitrum ) กลับมี performance ที่ค่อนข้างแย่ ภากร ได้อธิบายถึงสาเหตุหลัก 2 ประการ

ประการแรกคือตัว token ไม่ได้รับประโยชน์จากรายได้ที่เกิดขึ้น (monetization) เนื่องจากรายได้เหล่านั้นถูกส่งกลับเข้า foundation ทั้งหมด เขามองว่าราคาเหรียญ L2 อาจจะดีขึ้น หากมีการใช้ระบบ “decentralized sequencer” ที่เปิดให้ผู้ใช้งานนำเหรียญมา stake เพื่อรับส่วนแบ่งรายได้

ประการที่สองคือปัญหาด้านข้อกฎหมาย ปัจจุบันเหรียญ L2 ถูกออกแบบมาให้ไม่มี “value” ที่แท้จริง เพราะหากมีการแบ่งผลประโยชน์หรือปันผล ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกฟ้องร้องว่าเข้าข่ายเป็น “หลักทรัพย์” หรือ security ปัญหานี้จึงจำเป็นต้องรอความชัดเจนทางกฎหมายในอนาคต เช่น กฎหมายในสหรัฐฯ อย่าง “ไคลี่แอน” (Kylie Ann) หรือ “จีนัส” (Genus) ที่อาจจะออกมาสร้าง criteria ให้องค์กรสามารถสะสมมูลค่า ( value up good) และแจกแจงผลประโยชน์ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย

ส่องเป้าหมายราคา: 15,000 ดอลลาร์คืออนาคต?

ในประเด็นสุดท้ายเกี่ยวกับเป้าหมายราคาในปีหน้า ซึ่งผู้พูดทั้งสองย้ำว่านี่ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน คุณภากรได้อ้างอิงถึง Tom Lee นักวิเคราะห์ที่เคยคาดการณ์ว่า Bitcoin จะไปถึง 100,000 ดอลลาร์ (ตั้งแต่ตอนที่ราคา 3,000 ดอลลาร์) โดย Tom Lee ได้ให้เป้าหมายราคาของ Ethereum ไว้ที่ 15,000 ดอลลาร์ และยังคงไม่ปรับเป้าหมายนี้ลง แม้ว่าราคาจะร่วงลงจาก 4,900 มาอยู่ที่ 3,400 ดอลลาร์ก็ตาม

ส่วน คุณอรรณวุฒิ ได้แบ่งปันวิธีคิดแบบ “order of magnitude” (คิดเป็น 10 เท่า หรือ 100 เท่า) โดยเขามองว่าผลตอบแทน 100 เท่านั้นอาจเป็นไปได้ยากเมื่อดูจาก Market Cap แต่การคาดหวังผลตอบแทน 10 เท่า “ก็อาจจะเป็นไปได้อยู่บ้าง”

โดยสรุป แม้ราคาของ Ethereum ในปัจจุบันอาจจะ “Underperform” และเผชิญกับภาวะ “ตายใจ” ภายใน แต่ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ ศักยภาพพื้นฐานของมันยังคงแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นความเหนือกว่าคู่แข่งในแง่ความเสถียรสำหรับสถาบัน หรือโอกาสใน Killer App ใหม่ ๆ อย่าง AI และ Nano Payment แม้ว่าปัญหาของ Layer 2 จะยังต้องรอการแก้ไขทั้งในเชิงเทคนิคและข้อกฎหมาย ปัจจัยหนุนจากสถาบันที่รอจังหวะ “squeeze supply” และมุมมองเชิงบวกต่อราคาในระยะยาว ก็ยังคงทำให้ Ethereum เป็นสินทรัพย์ที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไป

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘จำเป็นไหมต้องมี Bitcoin?’ ซีเคชี้ ‘สมองไหล’ สู่ AI | เซียนมี่เตือนภัย ‘จีน’

เนคเทค ชู ‘นวัตกรรมแบบเปิด’ ปั้นเกษตรกร สร้าง AI-IoT ใช้เอง

×

Share

ผู้เขียน