เวที Work Life Festival 2025 ได้หยิบยกประเด็นท้าทายของคนทำงานในยุคปัจจุบัน ที่แม้จะทำงานหนักขึ้น แต่ความมั่นคงในชีวิตกลับน้อยลง สะท้อนแนวคิด “ยิ่งขยัน ยิ่งไม่มั่นคง” โดย ธนโชติ วิสุทธิสมาน CEO บริษัท ไลฟ์มี จำกัด และผู้ก่อตั้ง Future Trends ชี้ว่านี่คือยุคหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ ท่ามกลาง 3 วิกฤติหลักที่กำลังเขย่าความมั่นคง ทั้ง AI ที่เริ่มแทนที่งานทักษะสูง โลกที่เปลี่ยนเร็วปรับตัวไม่ทัน และรายได้จากงานประจำที่ไม่เพียงพอ สถานการณ์นี้กำลังบีบให้คนทำงานต้องพลิกวิธีคิด จากเดิมที่มุ่งเน้นการตามหา Passion สู่คำถามที่จริงจังกว่าว่า “ทำงานอย่างไรให้รวย” หรือการเปลี่ยนสถานะจาก Passive Worker (คนทำงานเชิงรับ) ไปสู่การเป็น Active Earner (คนหารายได้เชิงรุก)
3 วิกฤติหลัก เขย่าความมั่นคงคนทำงาน
คุณธนโชติได้วิเคราะห์ 3 วิกฤติหลักที่เขย่าความมั่นคงของคนทำงาน ประการแรกคือการที่ AI กำลังเข้ามาแทนที่ โดยไม่ได้คุกคามเฉพาะงานแรงงานอีกต่อไป แต่ยังเริ่มทดแทนตำแหน่งงานที่ใช้ทักษะสูง (Professional Skill) โดยที่ยังไม่มีใครตอบได้ว่าเทคโนโลยีนี้จะพัฒนาไปได้ถึงจุดไหน
วิกฤติประการที่สองคือ โลกที่เปลี่ยนเร็ว ปรับตัวไม่ทัน คุณธนโชติเปรียบเปรยว่า “เมื่อก่อนเราเรียนมหาวิทยาลัย 4 ปี เราใช้ได้ 40 ปี แต่วันนี้เราเพิ่งเรียนปีที่แล้ว ปีหน้าเราอาจใช้ไม่ได้แล้วก็ได้” เขาระบุว่าคนทำงานส่วนใหญ่ถูกสอนมาในยุคเก่าที่เน้นองค์ความรู้แน่นและใช้ได้นาน แต่ไม่ได้ถูกฝึกให้เรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดเวลาหรือพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
และวิกฤติประการสุดท้ายคือ รายได้จากงานประจำไม่เพียงพอ ซึ่งไม่เพียงแต่รายได้ทางเดียวเริ่มไม่พออีกต่อไป แต่ที่น่ากังวลคือ คนทำงานไม่รู้ว่า รายได้ก้อนนั้นมันจะหายไปเมื่อไหร่
พลิกวิธีคิด สู่ Active Earner และการทำงานแบบ Portfolio
เมื่อโลกการทำงานเปลี่ยนไป วิธีคิดของคนทำงานก็ต้องเปลี่ยนตาม คุณธนโชติเสนอว่าคนทำงานยุคใหม่ต้องเปลี่ยนคำถามสำคัญของชีวิต จากเดิมที่ถามว่า งานที่เป็น Passion ของเราคืออะไร ไปสู่คำถามที่จริงจังกว่าคือ เราจะทำงานยังไงให้เรารวยมากขึ้น ทำให้เรามีเงินมากขึ้น
แนวคิดนี้คือการเปลี่ยนสถานะจาก Passive Worker (คนทำงานเชิงรับ) ที่ทำงานเดียว ขยัน ตั้งใจ แล้วรอความสำเร็จหรือความมั่นคงในอนคต ไปสู่การเป็น Active Earner (คนหารายได้เชิงรุก) ซึ่งหมายถึงการมองหาโอกาสสร้างรายได้เพิ่มขึ้นตลอดเวลา
การเป็น Active Earner คือการมองการทำงานเป็น Portfolio (พอร์ตการลงทุน) แทนการมีจ๊อบเดียว พอร์ตนี้อาจประกอบด้วย การเป็นพนักงานประจำ (Employee) ซึ่งนับเป็นรายได้ก้อนหนึ่ง ควบคู่ไปกับการเป็น Content Creator เพื่อสร้างรายได้เสริม นอกจากนั้นยังต้องเป็น นักลงทุน (Investor) เพื่อลงทุนในสิ่งที่ตัวเองถนัด และเมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น ก็สามารถรับบทบาทเป็น เทรนเนอร์ หรือเมนเทอร์ (Trainer/Mentor) เพื่อขายประสบการณ์นั้นให้คนรุ่นใหม่ต่อไป
นอกจากนี้ ในยุคที่เวลาของทุกคนมี 24 ชั่วโมงเท่าเดิมและไม่สามารถทำงานหนักไปกว่านี้ได้แล้ว คนทำงานยุคใหม่ต้องเปลี่ยนจากการ ทำงานหนัก (Work Hard) เพียงอย่างเดียว ไปสู่การ ทำงานฉลาดขึ้นด้วย AI (Work Smart)
จาก Balance สู่ Growth
แนวคิดเหล่านี้สะท้อนผ่านธีมของงาน Work Life Festival ซึ่งเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ คุณธนโชติอธิบายว่า ในปี 2024 ภารกิจคือการเติม สมดุล (Balance) ทั้ง Work, Wealth และ Well-being
แต่ในปี 2025 สถานการณ์ของคนทำงานตึงเครียดจนการเติมทุกอย่างพร้อมกันเป็นไปได้ยาก เป้าหมายจึงเปลี่ยนเป็นการ เติมการเติบโต (Growth) ภายใต้แนวคิด ทำงานให้เติบโต ใช้ชีวิตให้มั่งคั่ง โดยเชื่อว่าหากสามารถเติมการเติบโตได้ ก็จะมีเงินและเวลาเหลือไปเติมส่วนอื่น ๆ ของชีวิต
ท่ามกลาง 3 วิกฤติหลักที่กำลังสั่นคลอนความมั่นคง ทั้ง AI การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว และรายได้ที่ไม่เพียงพอ แนวคิดแบบ Passive Worker ที่ทำงานหนักในงานเดียวเพื่อรอความมั่นคงจึงใช้ไม่ได้อีกต่อไป การปรับตัวในยุคนี้จึงหมายถึงการเปลี่ยนสถานะเป็น Active Earner ที่ต้องมองการทำงานแบบ Portfolio ทำงานอย่างฉลาดขึ้น (Work Smart) และเปลี่ยนเป้าหมายจากการมองหา Passion สู่การตั้งคำถามว่าจะสร้างความมั่งคั่งได้อย่างไร นี่คือการเปลี่ยนผ่านจากยุคของการรักษาสมดุล (Balance) สู่ยุคของการเร่งสร้างการเติบโต (Growth) เพื่อให้ทันโลกและสร้างความมั่นคงทางการเงินด้วยตนเอง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
กลยุทธ์ Tofusan: SME ชนะยักษ์ใหญ่ ไม่สู้ราคา แต่หา Pain Point
ถอดกลยุทธ์ ‘Winning Zone’ คอนเทนต์: 3 ทักษะ 6 ขั้นตอน ควบคุม AI สยบ ‘Noise’ ข้อมูลล้น




