Share on
×

Share

Fungjai เปิดตัว Music Integrator เจาะตลาด Music Marketing ไทย

Fungjai 'Music Integrator' เจาะตลาด Music Marketing ไทย

ณ ช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมดนตรีไทยและทั่วโลกกำลังพุ่งทะยานราวกับขบวนรถไฟความเร็วสูง “ฟังใจ” (Fungjai) ผู้เล่นคนสำคัญในวงการดนตรีอิสระตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ รีแบรนด์และปรับโครงสร้างธุรกิจสู่การเป็น “Music Integrator” (มิวสิคอินทิเกรเตอร์) อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมตั้งเป้าทะยานสู่รายได้ 100 ล้านบาทภายในปี 2026 การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนโลโก้ แต่คือการประกาศจุดยืนใหม่เพื่อเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงทุกองคาพยพของวงการ ทั้งศิลปิน ผู้ฟัง แบรนด์ และวัฒนธรรมย่อย (Subculture) เข้าไว้ด้วยกัน

“นี่คือช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดของอุตสาหกรรมดนตรี Music Marketing ไม่ใช่เทรนด์ ไม่ใช่เรื่องของอนาคต แต่มันคือรถที่เริ่มออกขบวนไปแล้ว” ศรัณย์ ภิญญรัตน์ CEO และผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์มดนตรีฟังใจ (Fungjai) กล่าวอย่างหนักแน่นกลางงานแถลงข่าว ชี้ให้เห็นถึงคลื่นการเติบโตมหาศาลที่กำลังเกิดขึ้น

ทำไมต้องเป็น ‘Music Integrator’ ในเวลานี้?

เบื้องหลังการพลิกโฉมสู่ “Music Integrator” ของฟังใจ ไม่ได้เป็นเพียงการตัดสินใจที่ตั้งอยู่บนรากฐานของข้อมูลและเทรนด์ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ทั้งในระดับมหภาคและจุลภาค

ในภาพใหญ่ ตลาด Music Marketing ทั่วโลกกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีการคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดจะพุ่งทะยานจาก 5.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 ไปสู่ 12.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2033 ซึ่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกคือสมรภูมิที่ร้อนแรงที่สุดด้วยอัตราการเติบโตที่คาดว่าจะสูงที่สุดในโลก

ขณะเดียวกัน เมื่อหันกลับมามองประเทศไทย ปรากฏการณ์ความโหยหาประสบการณ์ดนตรีสดหลังยุคโควิด-19 ได้จุดกระแสให้ตลาดมิวสิคอีเวนต์เติบโตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยจำนวนงานที่เพิ่มขึ้นถึง 22% หรือมากกว่า 500 งานต่อปี กลายเป็นโอกาสมหาศาลสำหรับแบรนด์ต่างๆ ที่จะเชื่อมต่อกับผู้บริโภคผ่านมิติทางอารมณ์ นอกจากนี้ ศักยภาพของศิลปินไทยอิสระที่เริ่มได้รับการยอมรับบนเวทีนานาชาติ ยังเป็นบทพิสูจน์ว่าดนตรีไทยคือ “ผลิตภัณฑ์” ที่พร้อมส่งออกสู่ตลาดโลก

จากภาพจิ๊กซอว์ทั้งหมดนี้ ฟังใจจึงขยายขอบเขตจาก DNA เดิมที่เป็น “Music Community” ซึ่งเชื่อมโยงศิลปินกับผู้ฟัง สู่บทบาทใหม่ของการเป็น “Music Integrator” ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางหลอมรวมคอมมูนิตี้ดนตรีเข้ากับโลกของแบรนด์และวัฒนธรรมอื่นๆ แนวคิดนี้สะท้อนผ่านโลโก้ใหม่ที่ได้แรงบันดาลใจจาก “ไมซีเลียม” (Mycelium) เครือข่ายรากที่เชื่อมโยงทุกชีวิตในระบบนิเวศเข้าด้วยกัน เฉกเช่นเดียวกับภารกิจใหม่ของฟังใจในวันนี้

3 เสาหลักบริการใหม่ใต้ร่ม ‘Music Integrator’

เพื่อขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ของการเป็น “Music Integrator” ให้เกิดขึ้นจริง ฟังใจได้ออกแบบ 3 แกนบริการหลัก ที่เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญในการสร้างโซลูชันทางดนตรีให้กับแบรนด์และพาร์ทเนอร์โดยเฉพาะ

แกนบริการแรกคือ Concert & Festival Sponsorship ซึ่งยกระดับการสนับสนุนทางการตลาดไปอีกขั้น ด้วยการเปลี่ยนสปอนเซอร์จากการเป็นเพียงผู้ติดป้ายโลโก้ ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่น่าจดจำ โดยทีมครีเอทีฟของฟังใจจะทำงานอย่างใกล้ชิดเพื่อหลอมรวมตัวตนของแบรนด์เข้ากับงานอย่างแนบเนียน ดังที่เคยสร้างความสำเร็จมาแล้วใน “มหรสพ Festival” ร่วมกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง Johnnie Walker, Honda และ Levi’s

ขณะเดียวกัน สำหรับแบรนด์ที่ต้องการสร้างสรรค์อีเวนต์ของตนเองขึ้นมาโดยเฉพาะ บริการ Event Management Service จะเข้ามาตอบโจทย์อย่างครบวงจร พร้อมเนรมิตทุกความคิดให้เป็นจริง ตั้งแต่การวางแนวคิดหลักไปจนถึงการควบคุมการผลิตเต็มรูปแบบอย่างมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นงานสเกลเล็กหรือใหญ่ การันตีคุณภาพด้วยผลงานที่ผ่านมาอย่าง Corona Sunset Session และ Coke Studio Campus Tour

และองค์ประกอบสุดท้ายคือ Music Marketing Campaign Development ซึ่งเป็นการใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือสื่อสารอันทรงพลังเพื่อสร้างแคมเปญที่เข้าถึงและตราตรึงใจผู้บริโภค ครอบคลุมตั้งแต่การสร้างสรรค์ดิจิทัลคอนเทนต์ การผลิตมิวสิควิดีโอ ไปจนถึงการสร้างกิจกรรมที่เชื่อมโลกออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ เช่น การร่วมงานกับบาร์บีคิวพลาซ่าในเพลง “ไม่ต้องมีคำบรรยาย” และแคมเปญเฟ้นหาศิลปินอย่าง ‘The Walkers’ ของ Johnnie Walker

เลิกทำสตรีมมิ่งสู่เป้าหมาย 100 ล้านและจุดยืนที่ไม่เคยเปลี่ยน

ก้าวสำคัญที่สะท้อนการปรับตัวเชิงยุทธศาสตร์ คือการประกาศยุติบทบาทของแอปพลิเคชันมิวสิคสตรีมมิ่ง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของฟังใจ คุณศรัณย์ได้ให้เหตุผลไว้อย่างชัดเจนว่า “11 ปีที่แล้ว พื้นที่สำหรับศิลปินอิสระยังขาดแคลน แต่ปัจจุบันมีผู้เล่นระดับโลกเข้ามามากมาย บทบาทของเราตรงนั้นอาจไม่จำเป็นอีกต่อไป แต่เรายังสามารถขับเคลื่อนอุตสาหกรรมผ่านช่องทางอื่นได้”

การปรับหางเสือครั้งนี้ได้นำไปสู่โมเดลรายได้ใหม่ที่แข็งแกร่ง โดยจะมาจากสองส่วนหลักคือ รายได้จากสปอนเซอร์ชิปและยอดขายบัตรในอีเวนต์ของตนเอง และรายได้จากการรับจ้างผลิตงานและแคมเปญ ซึ่งจะเป็นเครื่องยนต์สำคัญที่ขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมาย 100 ล้านบาทภายในปี 2026

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเชิงธุรกิจ คุณศรัณย์ได้ย้ำว่าปรัชญาที่เป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์อย่าง “ประชาธิปไตยทางดนตรี (Musical Democracy) จะยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าโมเดลธุรกิจจะเปลี่ยนไปอย่างไร เรายังพร้อมที่จะให้โอกาสศิลปินอิสระ ศิลปินหน้าใหม่ ให้มีพื้นที่เชื่อมต่อกับแฟนเพลงอยู่เสมอ”

การเดินทางสู่ทศวรรษใหม่ของฟังใจครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด แต่คือการประกาศความเชื่อมั่นในศักยภาพของอุตสาหกรรมดนตรีไทย และตอกย้ำความพร้อมที่จะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนวงการให้เติบโตไปอีกระดับอย่างยั่งยืน

×

Share

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ผู้เขียน