Share on
×

Share

กระทิง พูนผล ฟันธง 2026 ปีวัดใจ AI ไทย พิสูจน์ ROI ไม่ได้ อยู่ไม่รอด

เจาะวิสัยทัศน์ “กระทิง พูนผล” จากเวที H.O.W. OPEN HOUSE: ปี 2026 จุดวัดใจ AI ไทย พ้นยุคทดลอง สู่ปีแห่ง “ความจริง” ที่ต้องพิสูจน์ด้วย ROI

กระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) และผู้บริหารระดับสูงของธนาคารกสิกรไทย ไม่ได้เป็นเพียงผู้บริหารองค์กรเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มีพนักงานกว่า 3,000 คน แต่ยังเป็นนักลงทุนในเทคโนโลยีระยะเริ่มต้น (Early Stage) ผู้ก่อตั้ง Disrupt Technology Venture และเป็นคนไทยเพียงหนึ่งเดียวใน AI Governance Alliance ของ World Economic Forum เขาคือผู้ที่มองเห็นคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงและพร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่มันเสมอ

ในการบรรยายล่าสุดที่งาน H.O.W. OPEN HOUSE ประเด็นที่คมที่สุดที่ถูกหยิบยกขึ้นมา ไม่ใช่ความมหัศจรรย์ของเทคโนโลยี แต่เป็น ภาพความจริง (AI Realism) ที่องค์กรไทยกำลังจะเผชิญในปี 2026 ซึ่งจะเป็นปีที่ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งการทดลอง (Experimentation) และก้าวเข้าสู่จุดวัดใจที่แท้จริง ที่ทุกการลงทุนใน AI จะต้องถูกตั้งคำถามถึงผลตอบแทน (Return on Investment – ROI) อย่างเข้มข้น

ภาวะ “K-Shape” เมื่อ AI สุกงอมไม่เท่ากันและความจริงที่ไทยยังตามหลังสิงคโปร์ 7 ปี

คุณกระทิงเปิดประเด็นด้วยข้อมูลร้อน ๆ จาก The Economist ที่ชี้ให้เห็นสถานะ AI ของประเทศไทยในปี 2025 ว่าเราได้ผ่านจุด “Hello World” มาแล้ว องค์กรไทยมีความตื่นตัวและรับเอา AI มาใช้ในฐานะผู้บริโภค (Adoption) ค่อนข้างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจบริการทางการเงิน โทรคมนาคม อีคอมเมิร์ซ และการผลิต

อย่างไรก็ตาม ภาพที่น่ากังวลคือการเติบโตที่ไม่เท่ากัน หรือที่เขาเรียกว่า K-Shape Maturity องค์กรที่ปรับตัวได้เร็วและนำ AI ไปใช้จนเกิดผลิตภาพ (Productivity) จะพุ่งทะยานขึ้นสูง ในขณะที่องค์กรที่ปรับตัวไม่ทันจะดิ่งลงอย่างรวดเร็ว สร้างความเหลื่อมล้ำทางความสามารถในการแข่งขันอย่างมหาศาล

“หลายคนอาจจะถามว่าเรื่อง AI ประเทศไทยตามหลังสิงคโปร์ประมาณเท่าไหร่ ผมตอบได้เลยครับ 7 ปี” คุณกระทิง กล่าว พร้อมชี้ว่าสิงคโปร์มีหน่วยงาน AI Singapore และเริ่มทำการ Re-skill บุคลากรมาตั้งแต่ 7 ปีที่แล้ว

ตัวเลขจาก The Economist พบว่าแม้ว่าองค์กรขนาดใหญ่ในไทยเกือบ 1 ใน 5 (17-18%) จะเริ่มนำ AI มาใช้งานแล้ว และอีก 73% กำลังจ่อคิวตามมาติด ๆ แต่เบื้องหลังความตื่นตัวนี้กลับมีช่องว่างซ่อนอยู่ เพราะมีเพียง 1 ใน 3 ของผู้ที่ลงมือทำเท่านั้นที่ยอมรับว่าได้รับผลตอบแทนกลับมาตามที่คาดหวัง ยิ่งไปกว่านั้น การใช้งานส่วนใหญ่ยังเป็นเพียงการต่อยอดจากสิ่งเดิม ๆ คือเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพภายในองค์กร (39%) และปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า (32%) แต่ยังแทบไม่มีใครกล้าใช้ AI เพื่อ “พลิกเกม” หรือสร้างโมเดลธุรกิจขึ้นมาใหม่เลย

พยากรณ์ปี 2026: หุบเหวแห่งความสิ้นหวังและปีแห่งการตัดสินใจ “ดึงปลั๊ก” หรือ “ไปต่อ”

คุณกระทิง กล่าวว่า ปี 2026 จะเป็นปีที่องค์กรต่าง ๆ เดินทางมาถึงจุดต่ำสุดของกราฟที่เรียกว่า “J-Curve”หรือที่ Gartner เรียกว่า “หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง” (Trough of Disillusionment)

“ปีหน้าจะเป็นปีวัดใจเลยครับ สำหรับองค์กรที่จะคูณสองการลงทุน หรือถอดปลั๊กออกมา” เขากล่าว

นี่คือช่วงเวลาที่ความตื่นเต้นจากการทดลองจางหายไป แต่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมยังไม่ปรากฏ ผู้บริหารฝั่งธุรกิจจะเริ่มตั้งคำถามถึง ROI ที่ลงทุนไปมหาศาล องค์กรที่ไม่สามารถพิสูจน์คุณค่าของ AI ได้ มีแนวโน้มสูงที่จะ “ดึงปลั๊ก” การลงทุน ซึ่งจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ เพราะหลังจากผ่านจุดต่ำสุดนี้ไป องค์กรที่อดทนและทำ Transformation ต่อ จะทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผู้ที่ยอมแพ้จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างถาวร

ในปี 2026 บทสนทนาเรื่อง AI จะเปลี่ยนจาก “ทำอะไรได้บ้าง” ไปสู่ “ควรจะทำอย่างไร” โดยมีธีมหลักที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ

สปอตไลท์จะส่องมาที่การกำกับดูแล AI (AI Governance) ที่ต้องเร่งสปีดจากการวิ่งไล่จับแบบ “ทอมกับเจอร์รี่” ให้ทันโลกความจริง ประเด็นอ่อนไหวอย่างความยุติธรรมและอคติ (Fairness & Bias) จะกลายเป็นหัวข้อที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป และการคุ้มครองข้อมูล (Data Privacy & Security) จะไม่ใช่แค่เรื่องทางเทคนิค แต่เป็นหัวใจของความไว้วางใจ ที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าความฉลาดของ AI

ขณะเดียวกัน ทักษะที่ขาดแคลนและเป็นที่ต้องการมากที่สุดคือการบริหารจัดการวงจรชีวิต AI (AI Lifecycle Management) ซึ่งเป็นความสามารถในการดูแล AI ตลอดการใช้งานจริง แต่เหนือสิ่งอื่นใด ปี 2026 คือปีที่ทุกองค์กรต้องตอบคำถามเรื่องผลตอบแทนที่จับต้องได้ (Practical ROI) ให้ได้ ยุคของการทดลองที่น่าตื่นตาตื่นใจได้จบลงแล้ว และถูกแทนที่ด้วยความจริงที่ว่า ทุกการลงทุนต้องสร้างผลกระทบที่วัดผลได้จริง

“จำคำผมไว้นะครับ จงอย่าแต่งงานกับ AI จงเดทไปเรื่อย ๆ ใช้แบบ Tinder โมเดล เพราะ AI ที่คุณใช้ปัจจุบันจะเป็น AI ที่โง่ที่สุด”

พลังเบื้องหลังวิสัยทัศน์: เมื่อเทคโนโลยีต้องมาพร้อมกับหัวใจ

อาจมีคำถามว่าอะไรคือสิ่งที่ขับเคลื่อนบุคคลอย่าง ‘กระทิง พูนผล’ ให้มองเทคโนโลยีได้ลึกซึ้งถึงแก่น คำตอบอาจไม่ได้อยู่ในห้องประชุม แต่อยู่ในเรื่องราวส่วนตัวที่เขาได้แบ่งปัน นั่นคือเรื่องราวของ “น้องเคท” หลานสาวซึ่งป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 อย่างเฉียบพลันในวัยเพียง 10 ขวบ ภาพของหลานสาวที่ต้องต่อสู้ในห้อง ICU และคำพูดที่ว่า “หนูอยากมีชีวิตอยู่ ลุงทิงช่วยหนูด้วย” ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาตัดสินใจลงมาทำเรื่อง Healthcare อย่างจริงจัง

“ภาพนี้มันถึงทำให้ผมลงมาทำเรื่องของ Health Care ทำไมตัว Startup ตัวแรกที่ผมลงทุนจากกองทุน Health Care ของผมคือตัวตรวจวัดเบาหวานโดยที่ไม่ต้องจิ้ม เพราะหลานผมต้องจิ้มทุกวัน”

พลังจากประสบการณ์ครั้งนี้ได้หล่อหลอมมุมมองของเขาให้มองเทคโนโลยีเป็นมากกว่าเครื่องมือทางธุรกิจ แต่เป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ต้องใช้อย่างมีความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นแนวคิดที่สะท้อนกลับไปสู่คำเตือนของเขาเรื่อง AI Governance และ Ethical AI ที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ และนั่นคือเหตุผลที่เขาก่อตั้งกองทุน Disrupt Health Impact Fund เพื่อนำ HealthTech ระดับโลกมาช่วยเหลือคนไทย

สูตรสำเร็จ AI Transformation: เมื่อวัฒนธรรมสำคัญกว่าเทคโนโลยี

คุณกระทิง ย้ำว่าความสำเร็จของการทำ AI Transformation ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่มีองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการคือ Data, Model, Governance, Process และ Human in the Loop โดยมี Use Case ที่ถูกต้องเป็นตัวนำ

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดก็ไร้ความหมาย หากปราศจากหัวใจสำคัญที่จะทำให้องค์กรไปรอด นั่นคือ “คน” และ “วัฒนธรรมองค์กร” ซึ่งทำหน้าที่แตกต่างกันไปในแต่ละระดับ

การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องเริ่มต้นจากจุดสูงสุด โดยมีผู้นำสูงสุด (Top Leader) ทำหน้าที่เป็นผู้จุดประกาย (Ignite) และเป็นเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อน (Drive) ทั้งองค์กรไปข้างหน้า แต่ฟันเฟืองชิ้นที่สำคัญที่สุด อาจเป็นผู้จัดการระดับกลาง (Middle Management) ผู้มีภารกิจในการนำวิสัยทัศน์นั้นไปขยายผล (Scale) ให้เกิดขึ้นจริงทั่วทั้งองค์กร หากปราศจากการสนับสนุนจากพวกเขาแล้ว การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดก็พร้อมจะล้มเหลวลงทันที

ท้ายที่สุด การเดินทางนี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อพนักงานทุกคนมีส่วนร่วมและพร้อมปรับตัว ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management) ที่ดี มาเป็นกุญแจสำคัญในการประคองขวัญและกำลังใจของคนทั้งองค์กร

“วัฒนธรรมคือสิ่งที่ทำให้ AI Transformation ยั่งยืน และวัฒนธรรมนั้นมาจากผู้นำ เพราะผู้นำก็คือวัฒนธรรมขององค์กร (Leader is Culture)” คุณกระทิง กล่าว 

สาระสำคัญที่ ‘กระทิง พูนผล’ ทิ้งท้ายไว้ คือคำเตือนเชิงกลยุทธ์ที่ว่า องค์กรไทยต้องเลือกที่จะก้าวข้ามความตื่นเต้นผิวเผินของกระแส AI Bubble แล้วหันมามุ่งมั่นกับการลงมือทำที่วัดผลได้จริง ปี 2026 จะเป็นทางแยกสำคัญ ซึ่งเป็นปีแห่งความจริงที่อาจดูโหดร้ายสำหรับผู้ที่ไม่เตรียมพร้อม แต่กลับเต็มไปด้วยโอกาสสำหรับผู้ที่อดทน ผู้ที่สามารถฝ่าฟันช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด หรือ ‘หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง’ ไปได้เท่านั้น จึงจะได้ปีนป่ายขึ้นสู่ ‘เนินเขาแห่งการบรรลุธรรม’ และก้าวไปยืนบนที่ราบสูงแห่งผลิตภาพ (Plateau of Productivity) ได้อย่างสมศักดิ์ศรีในท้ายที่สุด

×

Share

ผู้เขียน