Share on
×

Share

รายได้ไม่พอรายจ่าย… ระเบิดเวลาลูกใหม่

รายได้ไม่พอรายจ่าย… ระเบิดเวลาลูกใหม่

เศรษฐกิจไทยช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนว่ากำลังฟื้นตัวจากภาวะซบเซามานาน จะเห็นได้จากจีดีพีที่หน่วยงานภาครัฐประกาศโตราว ๆ 2-3% ซึ่งสวนทางกับความรู้สึกของคนไทยส่วนใหญ่ ทั้งจากชาวบ้านและบรรดาพ่อค้าแม่ค้า ผู้ประกอบการรายย่อยและรายกลางทั้งหลายต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเศรษฐกิจไทยไม่ดีต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว

อย่างที่เป็นที่รู้ ๆ กันว่าจีดีพีที่โตนั้น เข้าตำราฝนตกไม่ทั่วฟ้าไปกระจุกอยู่ในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ กลุ่มทุนผูกขาดไม่กี่ตระกูล จึงโตอย่างไม่ทั่วถึง ทุกวันนี้คนทำงานในออฟฟิศรวมถึงคนงานในโรงงาน คนที่ทำอาชีพอิสระมักจะบ่นว่าเงินเดือนที่ได้แต่ละเดือนไม่พอใช้ ชักหน้าไม่ถึงหลัง ส่วนพ่อค้าแม่ค้าก็บ่นว่าขายของไม่ได้ คนเงียบมากไม่มีใครออกมาจับจ่ายใช้สอย

แม้แต่ภาคธุรกิจเอกชนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทุกวันนี้เศรษฐกิจไทยอยู่ในสภาพที่เปราะบางอย่างมาก การควบคุมต้นทุนคือหัวใจของการอยู่รอด หลายปีที่ผ่านมาบรรดาโรงงานอุตสาหกรรมต่างพากันลดกำลังการผลิตลง โรงงานขนาดกลางและธุรกิจก็ทยอยลดคนงาน ไม่มีค่าโอที บริษัทต่าง ๆ ลดพนักงานประจำลง ไม่มีนโยบายรับคนเพิ่ม ปริมาณงานเท่าเดิมแต่ใช้คนน้อยลง หลายบริษัทใช้วิธีเปลี่ยนรูปแบบการจ้างงานและจ่ายค่าตอบแทนที่ยืดหยุ่นมากขึ้น อาทิ จ่ายค่าจ้างเป็นจำนวนชิ้นแทนจ่ายเป็นรายชั่วโมง หรือจ้างงานรายวันแทนรายเดือน จ้างพนักงานแบบชั่วคราวหรือ Temp โดยผ่านบริษัทภายนอก เรียกว่าพนักงาน Outsource บริษัทที่ว่าจ้างไม่ต้องรับภาระสวัสดิการ ไม่มีโบนัส ไม่มีประกันสุขภาพ สามารถปรับลดคนได้ตามภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ง่ายต่อการจัดการแรงงานและค่าใช้จ่ายท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน

อย่างไรก็ตาม รูปแบบการจ้างงานดังกล่าวทำให้หน้าที่การงานของแรงงานและพนักงานจำนวนมากไม่มั่นคง รายได้ไม่แน่นอน ส่วนใหญ่รายได้น้อย และไม่สามารถคาดการณ์รายได้ในอนาคตของตนได้ ไม่มีโบนัส ไม่มีโอที เมื่อเศรษฐกิจชะลอรายได้ก็หดตามทันที เช่น กรณีพนักงานส่งอาหารหลายคนต้องทำงานวันละ 10-12 ชั่วโมงเพื่อให้รายได้เท่าเดิม แรงงานกลุ่มนี้จึงต้องระมัดระวังในการจับจ่ายมากขึ้น คนทำงานรุ่นใหม่ที่เป็นฟรีแลนซ์หรือพนักงานชั่วคราว รายได้ไม่แน่นอน ต้องใช้จ่ายแบบวันต่อวันมากกว่าการวางแผนระยะยาว

ขณะที่กลุ่มเกษตรกรในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็เจอปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายเนื่องจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะข้าวซึ่งเป็นสินค้าหลัก และส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่มีสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 4 ของจำนวนเกษตรกรทั้งหมด

บรรดาพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่แผงลอยทั่วไป รวมถึงกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าขายของตามตลาดนัด ก็มีรายได้ลดลงจากเดิมมากเมื่อเทียบกับก่อนโควิด-19 คาดว่าเป็นผลจากกำลังซื้อที่ลดลง ซึ่งลูกค้าคือกลุ่มแรงงานภาคอุตสาหกรรม และแรงงานภาคบริการที่เป็นลูกค้าประจำรายได้ลดลงเนื่องจากไม่มีค่าโอทีเหมือนก่อน รวมถึงโดนคนต่างชาติที่เข้ามาค้าขายแข่งขันทำให้ค้าขายลำบากมากขึ้น หากใครที่ชอบเดินตลาดมักจะได้ยินเสียงบ่นจากพ่อค้าแม่ค้าว่าขายของไม่ได้ คนเงียบเหงา ลูกค้าประจำจะซื้อของเท่าที่จำเป็นจริง ๆ

เมื่อรายได้ลดลงสวนทางกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น แม้อัตราเงินเฟ้อจะยังอยู่ในระดับต่ำ แต่สินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต มีราคาโดยเฉลี่ยสูงขึ้นเกือบ 15% เทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ซึ่งค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ยิ่งเป็นการซ้ำเติมคนที่มีรายได้ชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่แล้วให้มีความเป็นอยู่แย่ลงไปอีก พฤติกรรมการใช้จ่ายของคนทำงานเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด จากรายได้ที่เคยมีพอแบ่งปันเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อความสุข เช่น การทานข้าวนอกบ้าน การท่องเที่ยวก็ลดลง บางคนต้องตัดรายจ่ายพวกนี้ทิ้งไปเลย

ที่สำคัญ เมื่อรายได้ไม่พอกับรายจ่ายที่สูงขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อโดยรวมของเศรษฐกิจทั้งระบบก็หดตัวทันที จะเห็นได้จากธุร กิจร้านอาหาร ธุรกิจบริการ ต้องลดพนักงานหรือปรับเวลาให้บริการ บางแห่งต้องปิดร้านในวันทำงาน จะเปิดขายเฉพาะในวันสุดสัปดาห์ เพื่อลดค่าใช้จ่าย แม้แต่ในห้างฯ ใหญ่ๆ ยอดขายลดลง ต้องจัดโปรโมชั่นลดราคาทุกเดือนเพื่อดึงคนมาใช้จ่าย

เมื่อรายได้ไม่พอรายจ่าย ทางออกสุดท้ายของคนเหล่านี้คือต้องก่อหนี้ และหนี้อันดับหนึ่งคือหนี้บัตรเครดิต จึงไม่แปลกใจที่ทุกวันนี้คนไทยแบกหนี้หลังแทบหัก จะเห็นได้จากการแถลงของ ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากผลสำรวจหนี้ครัวเรือนไทยในปี 2568 พบว่าไทยมีหนี้สูงขึ้น และประเทศไทยมีปัญหาหนี้ครัวเรือนมา 10 ปีแล้ว มีสัดส่วนสูงกว่า 80% ของจีดีพี โดยปี 2567 ไทยมีภาระหนี้ครัวเรือนราว 6 แสนบาท/ครัวเรือน ส่วนปีนี้เพิ่มเป็น 7.4 แสนบาท/ครัวเรือน เพิ่มขึ้นถึง 22% ถือว่าเป็นอัตราที่สูงที่สุดในรอบ 4 ปี สาเหตุหลักเกิดจากเศรษฐกิจไม่ดี รายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพสูงขึ้น และสินค้าเกษตรราคาตกต่ำ นอกจากนี้ หนี้นอกระบบก็พุ่งสูงขึ้น เพราะสินเชื่อในระบบตึงตัว ธนาคารไม่ปล่อยกู้ ทำให้สินเชื่อติดลบต่อเนื่อง 4 ไตรมาสติดต่อกัน

ขณะที่ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนหน้านี้ ระบุว่าหนี้ครัวเรือนไทยสูงเกือบ 90% ของจีดีพี และยอดการใช้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นั่นหมายความว่าคนไทยใช้เงินในอนาคตเพื่อมาใช้จ่ายในวันนี้

ปัญหาความเปราะบางของครัวเรือนฐานรากที่ซ่อนอยู่ภายใต้ตัวเลขเศรษฐกิจที่เติบโต จับตาปรากฏการณ์ใหม่ รายได้ไม่พอรายจ่ายกำลังกลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหม่ พร้อมระเบิดทุกเวลา

‘วิทัย รัตนากร’ ผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ กับโจทก์ที่ท้าทาย

สัญญาณ…’รัฐบาลถังแตก’

แค่เลิกทุจริต จีดีพี ก็เพิ่ม

×

Share