Share on
×

Share

LCB1 Group ฉลอง 30 ปี ดันท่าเรือแหลมฉบังทะลุ 10 ล้าน TEU

LCB1 Group ฉลอง 30 ปี ดันท่าเรือแหลมฉบังทะลุ 10 ล้าน TEU

LCB1 Group (แอลซีบีวัน กรุ๊ป) หนึ่งในผู้ให้บริการท่าเทียบเรือตู้สินค้าหลักของไทย ฉลองครบรอบ 30 ปี ประกาศจุดยืนที่น่าสนใจว่า “นี่ไม่ใช่การเฉลิมฉลองจุดสิ้นสุด แต่คือ “จุดเริ่มต้นใหม่” (New Beginning)” พร้อมตอกย้ำภารกิจภายใต้แนวคิด “พันธมิตรที่เชื่อถือได้ ท่าเรือที่ไว้วางใจ” (Trusted Partner, Trusted Port)

จุดยืนดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงคำกล่าวเชิงสัญลักษณ์ แต่สะท้อนผ่านผลการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม เมื่อ LCB1 Group ได้พิสูจน์บทบาทการเป็นฟันเฟืองสำคัญ ที่ช่วยผลักดันให้ท่าเรือแหลมฉบังทั้งระบบ สามารถก้าวข้ามเป้าหมายที่ตั้งไว้มานาน และคาดว่าจะสามารถทำลายสถิติใหม่ทะลุ 10 ล้าน TEU ได้เป็นครั้งแรกในปีนี้ ขณะที่ LCB1 Group เอง ก็คาดว่าจะสร้างสถิติสูงสุดใหม่ของตนเองที่ประมาณ 1.9 ล้าน TEU ด้วยเช่นกัน

คอร์ส แปงจ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท LCB1 ซึ่งมีประสบการณ์ในแวดวงสายเดินเรือมากว่า 34 ปี ชี้ว่า ความสำเร็จนี้ทำให้ท่าเรือแหลมฉบังได้รับการยอมรับในเวทีโลก โดยปัจจุบันติดอันดับ Top 20 ของท่าเรือทั่วโลก และหากไม่นับรวมท่าเรือของจีน แหลมฉบังจะทะยานขึ้นสู่ Top 10 แซงหน้าท่าเรือขนาดใหญ่อย่างฮัมบูร์กและรอตเตอร์ดัม ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศไทยควรภาคภูมิใจ

ถอดรหัสความสำเร็จ 3 ทศวรรษ: ส่วนผสมที่ “ลอกเลียนแบบไม่ได้”

ความแข็งแกร่งของ LCB1 Group ไม่ได้มาจากโครงสร้างพื้นฐานเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้านที่ผสานกันอย่างลงตัว จนกลายเป็นจุดเด่นที่คู่แข่งลอกเลียนแบบได้ยาก

1. พลัง “คน” และความหลากหลาย (People & Diversity) หัวใจที่สำคัญที่สุดตามที่ผู้บริหารย้ำหลายครั้งคือ “บุคลากร” โดย LCB1 Group มีพนักงานเป็นคนไทยถึง 98% และหลายคนร่วมงานกับองค์กรมานานกว่า 20 ปี สะท้อนถึงความมั่นคงและวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง

จุดที่น่าสนใจคือมิติความหลากหลาย LCB1 Group มีสัดส่วนผู้บริหารระดับสูงเป็นผู้หญิงถึง 50% ซึ่ง นายคอร์ สแปงจ์ ยอมรับว่าเป็นเรื่อง “ไม่ปกติ” (Not Normal) ในอุตสาหกรรมการเดินเรือและท่าเรือ นอกจากนี้ บริษัทยังใช้ระบบ “Lean methodology” ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนในทุกระดับอย่างต่อเนื่อง

2. โครงสร้างผู้ถือหุ้นระดับโลก ผสานความเข้าใจท้องถิ่น (Global & Local) LCB1 Group มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่โดดเด่น คือการผนึกกำลังระหว่าง 2 ผู้บริหารท่าเทียบเรือระดับโลก (Global Terminal Operators) อย่าง PSA และ APM Terminals ร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่นอย่าง Bangkok Modern Terminal Ltd. (BMT)

การผสมผสานนี้ ทำให้ LCB1 Group ได้รับถ่ายทอดมาตรฐานระดับโลก โดยเฉพาะ “วัฒนธรรมความปลอดภัย” (Safety Culture) ที่เข้มงวด ขณะเดียวกันก็ยังคง “รักษารากเหง้าความเป็นองค์กรของคนไทย” และมีความเข้าใจตลาดในประเทศอย่างลึกซึ้ง

3. พันธมิตรที่ยืนหยัดคู่กัน 30 ปี (Partnership) บริษัทเน้นย้ำเรื่อง “ความร่วมมือ” (Partnership) ไม่ว่าจะเป็นกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย, กรมศุลกากร และกรมเจ้าท่า ไปจนถึงลูกค้าสายเดินเรือ ซึ่งบางรายอยู่คู่กันมาตั้งแต่ปี 1995

ความสัมพันธ์ที่ยาวนานนี้ นำไปสู่การพัฒนาร่วมกันอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็น “Superior Product” ที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้ นั่นคือบริการ “Berth on Arrival” หรือการที่เรือสามารถเข้าเทียบท่าได้ทันทีเมื่อมาถึงโดยไม่ล่าช้า ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของสายการเดินเรือ

กางแผนอนาคต “Future Ready”: มุ่ง Net Zero และใช้ AI เสริมแกร่งคน

ในส่วนของทิศทางอนาคตภายใต้องค์ประกอบ “Future Ready” กลุ่มบริษัท LCB1 ได้วางแนวทางไว้อย่างชัดเจนใน 2 มิติหลัก

มิติแรก คือภารกิจด้านสิ่งแวดล้อม หรือ ภารกิจสีเขียว โดยบริษัทได้ประกาศเป้าหมายในการมุ่งสู่การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 พร้อมเป้าหมายระยะกลางในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลง 50% ภายในปี 2030 ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทย LCB1 ถือเป็นผู้บุกเบิกในท่าเรือแหลมฉบัง จากการเป็นท่าเรือแห่งแรกที่นำเครน RTG ไฟฟ้ามาใช้ และปัจจุบันได้ยกระดับสู่การใช้ระบบ Hybrid RTG ซึ่งสามารถลดการปล่อย CO2 ได้ถึง 70% ต่อเครื่อง

กลยุทธ์สำคัญของบริษัทคือการเปลี่ยนอุปกรณ์ทั้งหมดให้เป็นระบบไฟฟ้า (Electrification) และการผลักดันให้เกิดการใช้พลังงานสะอาด (Green Energy) โดยบริษัทไม่ได้ดำเนินการเพียงลำพัง แต่ยังทำงานร่วมกับพันธมิตร ผู้รับเหมา (Vendors) ลูกค้า และผู้ถือหุ้น เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ในภาพรวมทั้งระบบ

มิติที่สอง คือมุมมองต่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) แม้ LCB1 จะยอมรับว่าอุตสาหกรรมการเดินเรือโดยรวมยังค่อนข้างล้าหลังในการนำเทคโนโลยีมาใช้ แต่บริษัทกำลังเปิดรับ AI อย่างเต็มที่ โดยมีปรัชญาที่ชัดเจนว่า AI จะเข้ามาเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่ผู้แทนที่พนักงาน เป้าหมายคือการนำ AI มาช่วยจัดการงานรูทีนหรืองานที่ต้องทำซ้ำ ๆ เพื่อให้บุคลากรมีเวลาไปมุ่งเน้นการให้บริการลูกค้าในส่วนที่สำคัญกว่านั่นคือการเข้าไปช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าในยามที่พวกเขาต้องการอย่างแท้จริง

บทพิสูจน์โครงสร้างพื้นฐานสำคัญและการเดินหน้าต่อ

สำหรับทิศทางเศรษฐกิจปีหน้า ผู้บริหารมองว่าเป็น “Crystal Ball” หรือสิ่งที่คาดเดาได้ยาก โดยมีปัจจัยความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ เป็นตัวแปรสำคัญ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อไทย และลูกค้าส่วนใหญ่ยัง “ค่อนข้างมองโลกในแง่ดี” (Optimistic) ต่อปีหน้า แม้การเติบโตของท่าเรือแหลมฉบังอาจกลับสู่ภาวะปกติที่ 2-3% จากที่โตเกือบ 10% ในปีนี้ แต่ LCB1 Group ยังเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทยและโอกาสการเติบโตในตลาดภูมิภาคอื่น

คอร์ สแปงจ์ ได้ทิ้งท้ายถึงบทบาทของท่าเรือในฐานะโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ โดยย้อนถึงช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ทุกคนต้องล็อกดาวน์ แต่ท่าเรือ LCB1 ยังคงทำงาน 24 ชั่วโมง 7 วัน ไม่มีวันหยุด เพื่อให้การส่งออกของไทยเดินหน้าต่อ และนำเข้าสินค้าที่จำเป็นอย่างอาหารและยาได้

“ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา LCB1 Group ไม่ได้เป็นเพียงผู้ประกอบการท่าเทียบเรือ แต่เป็นพันธมิตรที่อยู่เคียงข้างเศรษฐกิจไทยในทุกสถานการณ์ และพร้อมที่จะก้าวต่อไปเพื่ออนาคต”

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

AWS เลือก ‘ไต้ฝุ่น’ AI ภาษาไทยหนึ่งเดียวในอาเซียนจาก SCB10X เข้าโปรแกรม AI Accelerator

DELTA ทุ่มลงทุนใหญ่ในไทย ขยาย 4 โรงงาน-ศูนย์ R&D รับ AI Data Center บูม

×

Share

ผู้เขียน