Share on
×

Share

บำรุงราษฎร์ ปักหมุดภูเก็ต ทุ่ม 4.3 พันล้านบาท ยกระดับไทยเป็น Longevity Hub โลก

บำรุงราษฎร์ ปักหมุดภูเก็ต ทุ่ม 4.3 พันล้านบาท ยกระดับไทยเป็น Longevity Hub โลก

ในยุคที่การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) เติบโตอย่างก้าวกระโดด ท่ามกลางมูลค่าตลาดโลกที่คาดว่าจะพุ่งสูงถึง 704,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2576 ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ย 19.08% ต่อปี โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ผู้บุกเบิกการแพทย์มาตรฐานสากลของไทย กำลังก้าวสู่การขยายธุรกิจครั้งสำคัญนอกกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก โดยเลือกจังหวัดภูเก็ตเป็นยุทธศาสตร์หลัก ด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 4,300 ล้านบาท เพื่อสร้าง “บำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ภูเก็ต” โรงพยาบาลลักชัวรีที่ผสานการรักษาพยาบาลเข้ากับ Wellness

ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปิดเผยว่า โครงการ “บำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ภูเก็ต” ไม่ได้เป็นเพียงแค่การสร้างโรงพยาบาลสาขา แต่เป็นการปักหมุดยุทธศาสตร์ในตลาดสุขภาพที่มีศักยภาพการเติบโตสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพื่อรองรับการเติบโตของกลุ่มลูกค้าผู้มีทรัพย์สินสูง (High Net Worth: HNW) ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงประชากรคุณภาพที่พำนักระยะยาวบนเกาะ

การก่อสร้างคืบหน้าตามแผน

โครงการนี้ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 16.5 ไร่ ใกล้สนามบินนานาชาติภูเก็ต ซึ่งเป็นทำเลทองที่เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงสำหรับนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพทั่วโลก โดยได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างอย่างเป็นทางการด้วยพิธีตอกเสาเข็มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 และงานก่อสร้างมีความคืบหน้าเป็นไปตามกำหนด คาดการณ์ว่า โรงพยาบาลขนาด 212 เตียง (เฟสแรก 120 เตียง) จะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในช่วงครึ่งหลังของปี 2570

“โครงการนี้เดินหน้าตามแผนอย่างชัดเจน” ดร. อาทิรัตน์กล่าว พร้อมทั้งระบุถึงการลงทุนเพิ่มเติมในการซื้อที่ดินอีก 6 ไร่ เพื่อสร้างที่พักสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และพนักงานในรูปแบบคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดและรองรับบุคลากรทางการแพทย์คุณภาพสูงให้ย้ายมาประจำการในภูเก็ต

ภูเก็ต: ขุมพลังเศรษฐกิจและตลาดพรีเมียม

เหตุผลหลักที่บำรุงราษฎร์เลือกภูเก็ตเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายตัวไปยังต่างจังหวัด มาจากศักยภาพของตลาดพรีเมียมและโอกาสทางธุรกิจที่แข็งแกร่งหลังสถานการณ์โควิด-19

ดร.อาทิรัตน์ ระบุว่า ภูเก็ตคือทำเลเชิงกลยุทธ์ที่มีทั้ง “ขนาดตลาด” และ “คุณภาพตลาด” โดยมีประชากรรวม 422,021 คน ในจำนวนนี้กว่า 115,000 คนเป็นชาวต่างชาติ หรือคิดเป็น 27% ของประชากรทั้งหมด ขณะที่ประชากรชาวไทย 307,021 คน มีระดับกำลังซื้อสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศอย่างมีนัยสำคัญ และสัญญาณสำคัญคือ GPP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดต่อหัวอยู่ที่ 395,915 บาท สูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศไทยถึง 62% สะท้อนความพร้อมของตลาดสำหรับบริการสุขภาพระดับพรีเมียม นอกจากนี้ ภูเก็ตยังเป็นศูนย์รวมของกลุ่มผู้มีทรัพย์สินสูง ทั้งชาวไทยและต่างชาติ รวมถึงกลุ่มผู้เกษียณคุณภาพสูง ซึ่งมีความต้องการด้านการแพทย์เฉพาะบุคคล การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และบริการ Longevity ระดับสากล

ภูเก็ตยังเป็นชุมชนนานาชาติคุณภาพ เพราะเป็นศูนย์รวมของชุมชนชาวต่างชาติขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ  โดยข้อมูลล่าสุดปี 2568 มีชาวต่างชาติที่พำนักระยะยาวและถือใบอนุญาตทำงานสูงกว่า 15,600 คน (ข้อมูล เม.ย. 2568) ครอบคลุมกว่า 15 สัญชาติ โดยส่วนใหญ่ทำงานในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญสูง เช่น อสังหาริมทรัพย์และโรงแรมระดับลักชัวรี โรงเรียนนานาชาติหรือสถาบันการศึกษาชั้นนำ  และที่ปรึกษาธุรกิจ

นอกจากนี้ ภูเก็ตยังเป็นประตูสู่ Medical Tourism สนามบินนานาชาติภูเก็ตมีจำนวนผู้โดยสารต่างชาติเกือบ 10 ล้านคนต่อปี ทำให้จังหวัดแห่งนี้เป็นประตูหลักสู่ Medical Tourism ในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังโควิด-19 ที่ตลาด Medical Wellness ทั่วโลกฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และประเทศไทยได้รับการยอมรับในมาตรฐานการรักษาพยาบาลระดับโลก

ชู ‘Luxury Secondary Hospital’

รพ.บำรุงราษฎร์ ภูเก็ต ถูกวางตำแหน่งให้เป็น “Luxury Secondary Hospital” ที่เน้น Full Integration ครอบคลุมตั้งแต่การป้องกันโรค การรักษา ไปจนถึงการดูแลหลังรักษา บริการ One-Stop Service เช่น ผ่าตัดกระดูกสันหลังหรือศัลยกรรมความงาม สามารถทำได้ที่ภูเก็ตทันที แต่กรณีซับซ้อนอย่างผ่าตัดหัวใจหรือปลูกถ่ายอวัยวะ จะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลแม่ข่ายในกรุงเทพฯ ที่มีมาตรฐานระดับโลก

การเปลี่ยนผ่านจาก ‘รักษาเมื่อป่วย’ สู่ ‘ป้องกันก่อนเกิด’

การตัดสินใจลงทุนครั้งนี้สอดคล้องกับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมการแพทย์โลก จากการมุ่งเน้นการรักษาแบบตั้งรับ (Reactive Care) สู่การดูแลสุขภาพเชิงรุก (Proactive Care) และการแพทย์เพื่อการมีชีวิตยืนยาว (Longevity Medicine)

ดร. อาทิรัตน์ ชี้ให้เห็นว่า ในยุคที่โรคเรื้อรังไม่ติดต่อกลายเป็นภัยคุกคามหลัก ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนกว่า 70% ทั่วโลก (ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกหรือ WHO) การเปลี่ยนโมเดลการดูแลสุขภาพจึงไม่ใช่แค่เรื่องทางการแพทย์ แต่ยังเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจด้วย

ข้อมูลระบุว่า ตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 144,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 และคาดว่าจะเติบโตถึง 704,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2576 โดยภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 25.5%

ในประเทศไทย ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพคิดเป็น 5% ของ GDP ขณะที่การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเติบโตเฉลี่ย 10-15% ต่อปี ซึ่งสูงกว่า GDP ไทยที่เติบโตเฉลี่ยเพียง 2-3%

“การเปลี่ยนโมเดลสู่เชิงรุก จึงเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ โดยมุ่งเป้าที่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ผู้พำนักระยะยาว และคนไทยที่มีกำลังซื้อสูง” ดร. อาทิรัตน์กล่าวย้ำ

ใช้นวัตกรรมขับเคลื่อน


พญ.ปัญจพาณ์ เหลืองอร่าม แพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ป้องกัน (ตรวจสุขภาพ)  และ พญ.สุวรรณา สุวรรณพงษ์ แพทย์อายุรศาสตร์โรคหัวใจ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

พญ.ปัญจพาณ์ เหลืองอร่าม แพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ป้องกัน (ตรวจสุขภาพ) และ พญ.สุวรรณา สุวรรณพงษ์ แพทย์อายุรศาสตร์โรคหัวใจ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยการเปิดตัว 2 นวัตกรรมหลักที่ทำงานร่วมกันเพื่อสร้าง “Personalized Health Journey” หรือเส้นทางการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคลที่สมบูรณ์แบบ นั่นคือ

1. Smart Personalized HealthMatch: คู่มือสุขภาพส่วนตัวอัจฉริยะ

พญ.ปัญจพาณ์ เหลืองอร่าม แพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ป้องกัน (ตรวจสุขภาพ) และ ผู้อำนวยการฝ่าย Patient Safety & Medical Record Management โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อธิบายว่า ปัญหาหลักที่ผู้คนประสบคือความสับสนในการเลือกแพ็กเกจตรวจสุขภาพที่มีรายละเอียดมากมาย นำไปสู่การเลือกที่ไม่ตรงจุดและอาจมองข้ามความเสี่ยงที่สำคัญไป ซึ่งขัดกับเทรนด์สุขภาพยุคใหม่ที่เน้นการป้องกันเฉพาะบุคคล

นวัตกรรมดังกล่าวจึงถูกพัฒนาขึ้นให้เป็นผู้แนะนำโปรแกรมสุขภาพส่วนตัว ที่ใช้ Data Science และองค์ความรู้ทางการแพทย์ที่บำรุงราษฎร์สะสมมากว่า 40 ปี มาประยุกต์เป็นอัลกอริทึม โดยระบบจะวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น เช่น เพศ อายุ พฤติกรรมการใช้ชีวิต และประวัติครอบครัว เพื่อประมวลผลและจับคู่แพ็กเกจหลักและแพ็กเกจเสริมที่เหมาะสมกับความเสี่ยงของบุคคลนั้น ๆ โดยเฉพาะ ถือเป็นการย้ายจากการดูแลแบบ “One Size Fits All” มาสู่การออกแบบสำหรับแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง

2. Biological Age: ตัวชี้วัดอนาคตของร่างกาย

พญ.สุวรรณา สุวรรณพงษ์ แพทย์อายุรศาสตร์โรคหัวใจ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และ Program Director ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ กล่าวว่า ในทางการแพทย์ อายุทางชีวภาพ เป็นตัวเลขที่สะท้อนการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกาย ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าอายุตามปฏิทิน หากอายุชีวภาพสูงกว่าอายุจริง นั่นหมายถึงโอกาสการเกิดโรคเรื้อรังจะมาถึงเร็วขึ้น

Biological Age

นวัตกรรมการตรวจอายุทางชีวภาพของบำรุงราษฎร์ใช้อัลกอริทึมปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูงที่ถูกฝึกฝนด้วยฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ที่มาจากผู้รับบริการเกือบ 200,000 รายจากกว่า 190 ประเทศทั่วโลก ทำให้โมเดลมีความแม่นยำสูงและได้รับการยอมรับในระดับสากล ผ่านการตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์

การตรวจนี้ไม่ใช่แค่การตรวจหาโรค (Early Detection) แต่เป็นการทำ Prognostication หรือการทำนายโอกาสเกิดโรคสำคัญในอนาคต เช่น โรคหัวใจ มะเร็ง และสมองเสื่อม อีกทั้งยังใช้เป็นเครื่องมือติดตามผล (Monitoring Tool) ที่ทรงพลัง เพื่อวัดผลการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ หรือการรักษาได้ทุก 3-6 เดือน

การผสานนวัตกรรมทั้งสองนี้เข้าด้วยกันกำลังสร้างรูปแบบการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม โดยเริ่มจากประเมินข้อมูลพื้นฐานเพื่อเลือกโปรแกรมตรวจ จากนั้นวิเคราะห์อายุชีวภาพเพื่อเข้าใจสภาวะเซลล์ และจบด้วยการปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนเฉพาะบุคคลที่ครอบคลุมโภชนาการ การออกกำลังกาย และการดูแลอื่น ๆ เป้าหมายไม่ใช่แค่อายุยืน แต่คือการมีสุขภาพดีตลอดชีวิต (Healthy Longevity) ซึ่งเป็นหัวใจของการแพทย์ศตวรรษที่ 21

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

รับมือ Q-Day: วาระแห่งชาติและความอยู่รอดของไทย

Reinventing KTC 2026 กลยุทธ์ ‘Realistic Growth’ รื้อระบบเก่า-สร้างคนใหม่ สู้ศึกเศรษฐกิจ

×

Share

ผู้เขียน