Share on
×

Share

จงเป็นเช่นลุงเสรี: นิยามความมั่งคั่งใหม่ ที่เงินซื้อไม่ได้

จงเป็นเช่นลุงเสรี: นิยามความมั่งคั่งใหม่ ที่เงินซื้อไม่ได้

เราต่างถูกตั้งคำถามเสมอว่า “อยากมีเงินเท่าไหร่?” แต่เคยถามตัวเองอย่างจริงจังหรือไม่ว่า “เราอยากมีเงินไปเพื่ออะไร? สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ หรือ “นิ้วกลม” จะพาคุณเดินทางสวนกระแสทุนนิยมเพื่อค้นพบว่าความรู้สึก “มีเงินเยอะขึ้น” อาจไม่ได้มาจากการมีตัวเลขในบัญชีเพิ่มขึ้น แต่อยู่ที่การสร้างระบบของตัวเองขึ้นมาใหม่ทั้งหมด

หากจะพูดถึงเรื่องเงิน หลายคนคงนึกถึงตัวเลขหลักล้านหรือการมี Passive Income แต่สำหรับคุณนิ้วกลม ไอดอลทางการเงินของเขากลับเป็นชายชราธรรมดาคนหนึ่งนามว่า “ลุงเสรี” แห่งบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ชายผู้มีวิถีชีวิตที่อาจสั่นสะเทือนความเข้าใจเรื่องเงินทองและความสุขของเราไปโดยสิ้นเชิง

ลุงเสรี: ไอดอลทางการเงินผู้ใช้ชีวิต ‘เหนือชั้น’ ด้วยเงินติดตัว 10 บาท

ณ มุมหนึ่งของบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี มีชายชราผู้หนึ่งนามว่า “ลุงเสรี” ผู้ซึ่งคุณนิ้วกลมยกให้เป็นไอดอลทางการเงินของเขา ชีวิตของลุงเสรีอาจดูสวนทางกับทุกตำราความมั่งคั่งที่เราเคยรู้จัก แต่กลับเป็นภาพสะท้อนของความสุขที่สมบูรณ์

ในแต่ละวัน ลุงเสรีจะอุทิศแรงกายของเขาเพื่อช่วยเหลือสังคมรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นการกวาดลานวัด ล้างจานในงานบุญ หรือเข็นของให้ชาวบ้านในตลาด กิจวัตรเหล่านี้ไม่ใช่งานที่แลกมาด้วยค่าจ้าง แต่เป็นการใช้ชีวิตที่แลกมาด้วยอาหารและความรัก หากใครหยิบยื่นเงินให้ คำตอบที่ได้กลับมาอาจเป็นคำด่าทออย่างถึงพริกถึงขิงตามประสาคนปากร้ายแต่ใจดี เพราะสำหรับเขาแล้ว การช่วยเหลือคือการทำบุญ เป็นสิ่งที่ทำได้สบาย ๆ ไม่ใช่เรื่องยากเย็นหรือต้องมีสิ่งใดตอบแทน

สมการชีวิตของลุงเสรีนั้นเรียบง่าย เขาแทบไม่มีรายจ่ายใด ๆ ที่ผูกมัดตัวเอง ค่าน้ำ 3 เดือนรวมกันเพียง 5 บาท บิลค่าไฟมาเพียง 6-7 บาท จนเหรียญสิบที่เตรียมไว้ยังเหลือทอน วิถีชีวิตเช่นนี้ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงเงินทอง

ถอดรหัส ‘บรีฟชีวิต’ จาก 2 ครีเอทีฟ: เมื่อความสร้างสรรค์ไม่ใช่แค่เรื่องงาน

เมื่อถูกถามว่าชีวิตแบบนี้ “เหนือชั้น” กว่าคนอื่นอย่างไร ลุงเสรีไม่ได้ตอบด้วยหลักการซับซ้อน แต่ตอบด้วยความจริงที่ว่า “ผมไม่ต้องซื้อข้าว คุณน่ะต้องซื้อข้าวกินตลอด”

ประโยคนี้เองที่เป็นหมัดฮุกที่คุณนิ้วกลมชวนให้ขบคิด เพราะได้พลิกนิยามของความมั่งคั่งกลับหัวกลับหางทันที ชี้ให้เห็นว่าบางทีอิสรภาพที่แท้จริงอาจไม่ใช่การมีเงินมากพอที่จะซื้อทุกสิ่ง แต่คือการใช้ชีวิตที่ไม่ต้องซื้ออะไรเลยต่างหาก

ท้ายที่สุดแล้ว เราอาจตระหนักได้ว่ามนุษย์เราไม่ได้ต้องการ “เงิน” ที่เป็นเพียงเหรียญ ธนบัตร หรือตัวเลขดิจิทัล แต่เราโหยหาสิ่งที่เงินเป็นเพียงสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน นั่นคือ ความสุข อิสรภาพ และความรัก ซึ่งลุงเสรี ผู้มีเงินติดตัวไม่กี่บาท กลับครอบครองสิ่งล้ำค่าทั้งสามอย่างนี้ไว้อย่างเปี่ยมล้น โดยไม่ต้องใช้เงินซื้อเลยแม้แต่น้อย

ติดกับดัก ‘ระบบ’ ที่กระตุ้นความกลัวและความอยากไม่สิ้นสุด

เคยสงสัยหรือไม่ว่า เหตุใดความรู้สึก “ไม่เคยพอ” จึงเกาะกุมหัวใจเราอยู่เสมอ? เหตุใดการวิ่งไล่ตามเงินทองจึงกลายเป็นภารกิจที่ไม่เคยมีวันสิ้นสุด? คุณนิ้วกลม ชวนเราสำรวจความจริงที่ว่า เราไม่ได้กำลังต่อสู้กับความต้องการของตัวเองเพียงลำพัง แต่เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางระบบหรือกลไกอันซับซ้อนของสังคม ที่ถูกออกแบบมาอย่างแยบยลเพื่อทำให้เรารู้สึกขาดพร่องอยู่ตลอดเวลา

เริ่มต้นจาก ‘ระบบการตลาด’ ที่ค่อย ๆ สกัดเซาะความมั่นใจในตัวเอง กลไกนี้ทำงานโดยการชี้ให้เราเห็น “จุดบกพร่อง” ที่เราอาจไม่เคยสังเกตมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นผมที่ชี้ฟู ผิวที่คล้ำเกินไป หรือริ้วรอยที่เพิ่งปรากฏ มันสร้างความกลัวและความไม่พอใจในสิ่งที่เราเป็น จากนั้นจึงหยิบยื่นความหวังในรูปแบบของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่มาพร้อมคำมั่นสัญญาว่าจะทำให้เราดีขึ้น สวยขึ้น สมบูรณ์แบบขึ้น กลยุทธ์นี้ทำให้เราตกอยู่ในวงจรของการ “ไม่เคยชอบตัวเอง” และเชื่อว่าต้องใช้เงินเพื่อซื้อความมั่นใจกลับคืนมา

จากนั้นคือ ‘ระบบบริโภคนิยม’ ที่ทำให้เราไม่พอใจในสิ่งที่มี เมื่อความมั่นใจในรูปลักษณ์ภายนอกสั่นคลอน ระบบนี้ก็เข้ามาซ้ำเติมโดยการบอกว่าสิ่งของที่เราครอบครองนั้น “ยังดีไม่พอ” มันไม่ได้ขายแค่ฟังก์ชันการใช้งาน แต่ขาย “สัญญะ” หรือความหมายที่ฉาบทาอยู่บนนั้น เราไม่ได้ซื้อรถยนต์ แต่กำลังซื้อสัญลักษณ์ของความสำเร็จ ไม่ได้เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือเพราะเครื่องเก่าพัง แต่กำลังซื้อตั๋วสู่ความทันสมัย ระบบนี้ทำให้เราไม่เคยชอบสิ่งที่เรามีอยู่ เพราะมันเก่าไปแล้ว ตกรุ่นแล้ว หรือยังหรูหราไม่เท่าของคนอื่น

ยิ่งไปกว่านั้นคือ ‘ระบบสื่อ’ ที่หล่อเลี้ยงชีวิตด้วยความหวั่นไหว ในยุคที่ Engagement คือหัวใจสำคัญ สื่อต่าง ๆ จำเป็นต้องกระตุ้นอารมณ์ที่รุนแรงที่สุดของผู้คน นั่นคือ “ความกลัว” เราจึงถูกรายล้อมไปด้วยพาดหัวที่พร้อมจะ “อวสาน” ทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการล่มสลายของชนชั้นกลาง ภัยคุกคามจาก AI ที่จะมาแย่งงาน หรือวิกฤตการณ์ที่อาจปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ สภาพแวดล้อมเช่นนี้ทำให้เรา “ไม่เคยรู้สึกว่าชีวิตมั่นคง” และต้องดิ้นรนหาเงินเพื่อเป็นหลักประกัน หรือใช้จ่ายเพื่อคลายความวิตกกังวลเหล่านั้น

และท้ายที่สุดคือ ‘ระบบเศรษฐกิจและการเมือง’ ที่ตอกย้ำว่าเรายังดีไม่พอ ในสังคมที่โอกาสไม่ได้ถูกแบ่งปันอย่างเท่าเทียม ความเหลื่อมล้ำที่ถ่างกว้างทำให้เงินไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือแลกเปลี่ยน แต่กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการซื้อโอกาสและเอาชีวิตรอด ตั้งแต่ค่าเล่าเรียนในโรงเรียนชั้นดี ค่ารักษาพยาบาลยามเจ็บป่วย ไปจนถึงการสร้างสายสัมพันธ์ทางสังคม เงินได้กลายเป็นกำแพงที่กั้นระหว่างความปลอดภัยและความเสี่ยง ทำให้เรารู้สึกเสมอว่า “มีแค่ไหนก็ไม่พอ” ที่จะปกป้องตัวเองและครอบครัว

เมื่อถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นเหล่านี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ความรวยจะกลายเป็นเป้าหมายสูงสุดของใครหลายคน เพราะมันได้ถูกนำเสนอให้เป็นคำตอบสำเร็จรูป เป็นเกราะป้องกันเดียวที่จะช่วยให้เรารอดพ้นจากความกลัวและความขาดพร่องทั้งปวงที่ระบบได้สร้างขึ้นมานั่นเอง

เมื่อ ‘Homerun’ เป็นมากกว่าหนังสือ: เจาะใจคนทำหนังสือ

สถาปนาระบบชีวิตของตนเองผ่านการเลือกข้างระหว่าง ‘หมาป่าสองตัว’

เมื่อตระหนักว่าเรากำลังล่องไปตามกระแสของระบบที่สังคมกำหนด เราจะหลุดพ้นจากวังวนนี้ได้อย่างไร? คำตอบไม่ได้อยู่ที่การต่อต้านอย่างหัวชนฝา แต่อยู่ที่การสร้างระบบนิเวศภายในของตัวเองขึ้นมาอย่างมีสติและกล้าหาญ การเดินทางนี้เริ่มต้นด้วยการหรี่เสียงอึกทึกจากภายนอก แล้วเงี่ยหูฟังเสียงกระซิบจากภายในใจให้ชัดเจนขึ้น

คุณนิ้วกลม ชวนให้เราจินตนาการว่า ในตัวตนของทุกคนมีหมาป่าสองตัวกำลังต่อสู้กันอยู่เสมอ หมาป่าตัวหนึ่งเป็นตัวแทนของค่านิยมที่โลกภายนอกปลูกฝัง ส่วนอีกตัวคือเสียงแห่งคุณค่าที่แท้จริงจากหัวใจของเรา การตัดสินใจในทุกขณะของชีวิต ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ คือการที่เรากำลังเลือกป้อนอาหารให้กับหมาป่าตัวใดตัวหนึ่ง และการเลือกข้างซ้ำ ๆ นี้เอง ที่จะค่อย ๆ ก่อร่างสร้างเป็นระบบชีวิตและปรัชญาการเงินฉบับเฉพาะตัวของเรา

สมรภูมิแห่งการเลือกข้างนี้ ปรากฏในทางแยกสำคัญต่าง ๆ ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นระหว่าง ‘เงินตรา’ กับ ‘เวลา’ นี่คือสมการแลกเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต เราจะยอมสละเวลาซึ่งเป็นทรัพยากรที่ไม่สามารถสร้างใหม่ได้ เพื่อแลกกับเงินตราที่มากขึ้นหรือไม่? หรือจะเลือกทำงานน้อยลง เพื่อซื้อเวลาคืนมาให้กับความสัมพันธ์ ประสบการณ์ และความสุขที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ ทุกการใช้จ่ายไม่ใช่แค่การเสียเงิน แต่คือการใช้เศษเสี้ยวของชีวิต” ที่เราทำงานหนักเพื่อแลกมันมา

หรือระหว่าง ‘มูลค่า’ กับ ‘คุณค่า’ เราอยู่ในโลกที่ทุกสิ่งถูกตีมูลค่าเป็นตัวเงิน แต่บ่อยครั้งที่สิ่งของล้ำค่าที่สุดกลับไม่มีป้ายราคาติดไว้ เราจะเลือกแหวนเพชรที่ส่องประกายด้วยมูลค่าซึ่งสังคมยอมรับ หรือจะเลือกแหวนที่หลอมขึ้นจากภาพวาดของคนรัก ซึ่งแม้ไม่มีมูลค่าในตลาด แต่กลับเปี่ยมล้นไปด้วยคุณค่าทางจิตใจที่เงินไม่อาจซื้อได้? เพราะมูลค่าเกิดจากสายตาคนอื่น แต่คุณค่าถือกำเนิดจากเรื่องราวและความรู้สึกของเราเอง

ระหว่างความ ‘ขาดแคลน’ (Dopamine) กับความ ‘สมบูรณ์’ (Serotonin) เราจะปล่อยให้ชีวิตถูกขับเคลื่อนด้วยสารโดพามีนที่กระตุ้นให้เราไล่ล่าเป้าหมายถัดไปอย่างไม่สิ้นสุด ทำให้รู้สึกขาดอยู่เสมอ หรือจะเลือกบ่มเพาะสารเซโรโทนินที่ทำให้เราสงบนิ่งและรับรู้ถึงความสมบูรณ์ในปัจจุบัน? มันคือการเลือกระหว่างความตื่นเต้นของการต้องไปดื่มกาแฟที่หายากที่สุดในโลก กับความสุขลึกซึ้งจากการได้ดื่มด่ำกับกาแฟแก้วธรรมดาที่อยู่ตรงหน้า ท่ามกลางแสงแดดยามเช้า

ระหว่าง ‘วัตถุ’ กับ ‘จิตวิญญาณ’ โลกมักสอนให้เราสร้างความประทับใจผ่านวัตถุที่ห่อหุ้มตัวตน แต่ความทรงจำที่งดงามที่สุดมักเกิดจากสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา เราจะเลือกสะสมสิ่งของเพื่อเติมเต็มตัวตน หรือจะเลือกมอบ จิตวิญญาณผ่านการกระทำ? เช่น ความรักของแม่ที่แสดงออกผ่านสบู่ที่ไม่เคยพร่องขวด หรือมิตรภาพของเพื่อนที่สัมผัสได้จากอาหารมื้อธรรมดาที่เขาตั้งใจทำให้กิน สิ่งเหล่านี้คือสมบัติทางใจที่ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่มพูน

ระหว่าง ‘ปัจเจก’ กับ ‘ชุมชน’ เราจะใช้ชีวิตในโหมดการแข่งขันแบบตัวใครตัวมันที่ทุกคนคือคู่แข่งและต้องดิ้นรนเอาตัวรอดเพียงลำพัง ซึ่งบีบให้เราต้องหมกมุ่นกับเงินเพื่อสร้างเกราะป้องกันตัวเองหรือไม่? หรือจะหันมาสร้างชุมชนที่เกื้อกูล เป็นตาข่ายรองรับทางสังคมที่ทำให้เรามั่นใจได้ว่า แม้ในวันที่ล้มลง ก็ยังมีคนคอยพยุง โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินเป็นหลักประกันเพียงอย่างเดียว

ระหว่างการ ‘รับใช้เงิน’ กับให้ ‘เงินรับใช้เรา’ และนี่คือคำถามสุดท้ายที่สำคัญที่สุด ตกลงแล้วใครเป็นนายใครเป็นบ่าว? เรากำลังเป็นทาสของเงิน ที่มันสามารถสั่งให้เราทนทำงานที่ไม่ชอบ อยู่กับเจ้านายที่เป็นพิษ เพียงเพื่อแลกกับมันมาหรือไม่? หรือเราเป็นนายที่ใช้เงินเป็นเพียงเครื่องมือหรือลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ เพื่อให้มันช่วยสร้างสรรค์ชีวิตในแบบที่เราปรารถนา? เพราะสิ่งใดก็ตามที่เราโหยหา มันจะยิ่งมีอำนาจเหนือเราฉันนั้น

นิยามใหม่แห่งอิสรภาพทางการเงิน: เมื่อความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ได้วัดกันที่ Passive Income

การเดินทางทางความคิดทั้งหมดนี้ นำเรามาสู่ทางแยกที่สำคัญที่สุด ที่ซึ่งเราต้องละทิ้งคำถามเดิม ๆ ที่ว่า “อยากมีเงินเท่าไหร่?” แล้วเผชิญหน้ากับคำถามที่กลับตาลปัตรแต่ลึกซึ้งกว่านั้น ว่า “อะไรคือสิ่งที่จะทำให้เราปรารถนาเงินน้อยลง แต่กลับรู้สึกว่าชีวิตเปี่ยมล้นและมีคุณค่ามากขึ้น?”

คำตอบของคำถามนี้ไม่ได้อยู่ในตำราการลงทุน แต่อยู่ในการปรับทิศทางของหัวใจ คือการค้นพบความเข้าใจในตัวเองที่ลึกซึ้ง จนไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตเพื่อเอาใจใคร คือการฝึกฝนสายตาให้มองเห็นคุณค่าที่ซ่อนอยู่ในสิ่งธรรมดา แทนที่จะถูกกล่อมด้วยมูลค่าที่สังคมตีตรา คือการโอบกอดความรู้สึกสมบูรณ์จากสิ่งที่มีอยู่ แทนที่จะวิ่งไล่ไขว่คว้าสิ่งที่ยังขาดหาย และคือการตระหนักว่ามนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้อยู่ลำพัง แต่จะเบ่งบานในสังคมที่เกื้อกูลซึ่งเป็นตาข่ายแห่งความปลอดภัยที่เงินเพียงอย่างเดียวไม่อาจสร้างได้

และนี่คือจุดที่ คุณนิ้วกลม กลั่นแก่นแท้ของ “อิสรภาพทางการเงิน” ออกมาเป็นนิยามที่สอดคล้องกับประโยคอมตะที่ว่า Freedom is No Fear—อิสรภาพคือการปราศจากความกลัวโดยสิ้นเชิง

“อิสรภาพทางการเงินสำหรับผม ไม่ได้เกิดขึ้นตอนที่เรามี Passive Income มากพอ แต่มันเกิดตอนที่เราไม่ได้แคร์ว่าคนอื่นจะคิดกับเรายังไง มันคืออิสระจากการตัดสินของคนอื่น” 

ความกลัวในที่นี้ ไม่ใช่ความกลัวความจน แต่คือความกลัวสายตา การซุบซิบนินทา และการประเมินค่าจากคนรอบข้าง ซึ่งเป็นโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นแต่กลับรัดแน่นยิ่งกว่าความขัดสนใด ๆ ตราบใดที่เรายังใช้ชีวิตอยู่ใต้เงาแห่งความคาดหวังของผู้อื่น ยังต้องซื้อสิ่งของเพื่อการยอมรับ ยังต้องทำอาชีพเพื่อภาพลักษณ์ เราก็ไม่ต่างอะไรจากนักโทษในเรือนจำทางสังคม ต่อให้มีเงินทองกองล้นฟ้า ก็ไม่สามารถซื้ออิสรภาพที่แท้จริงได้เลย

อิสรภาพที่แท้จริงจึงไม่ได้เริ่มต้นในบัญชีธนาคาร แต่เริ่มต้นขึ้นในความคิดและจิตใจของเราเอง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

รศ.ดร.กาญจนา แก้วเทพ ชี้ ‘Knowledge Shift’ นิเทศศาสตร์ยุคใหม่ ต้องเชื่อมโยงบูรณาการ

4 วิธีใช้ AI วางแผนการเงิน-ปลดหนี้ จากเวที Money Freedom Forum

‘ลงทุนแมน’ ชี้ทางมั่งคั่งยุคใหม่: Passive Income อย่างเดียวไม่พอ

×

Share

ผู้เขียน