ชั่วโมงนี้ ใคร ๆ ก็นึกถึง Passive Income เพราะเป็นแนวทางสำคัญในการวางแผนการเงิน บางคนบอกว่าเป็นวิธีการนำเงินที่มีไปต่อยอด โดยไม่ต้องออกแรง แต่สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้เงินเพิ่มขึ้น และหากมีจำนวนมากขึ้นก็สามารถทำให้เรามีชีวิตอิสระและสบายขึ้นได้ เหมือนกับการมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ซึ่งเป็นสวัสดิการที่นายจ้างและลูกจ้างร่วมกันออมเพื่อการเกษียณ แต่ต้องสะสมเงินอย่างต่อเนื่อง และจะได้รับผลประโยชน์เมื่อเราเกษียณจากการทำงานประจำ
Passive Income ในปัจจุบันมีหลายรูปแบบ ที่สำคัญคือเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องใช้แรงงานหรือเวลามากนักในการสร้างรายได้ เรียกว่าเป็นรายได้ที่ไม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่ ซึ่งแตกต่างจาก Active Income ที่เราจะได้รับรายได้ประจำจากการใช้เวลาและเรี่ยวแรงในการทำงานโดยตรง
Passive income คือ รายได้ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องใช้แรงงานหรือเวลามากนักในการสร้างรายได้นั้น ๆ หลังจากที่เราได้ลงทุนลงแรงในช่วงแรกไปแล้ว เปรียบเสมือนการทำให้เงินหรือสินทรัพย์ทำงานแทนเรา เพื่อสร้างรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เกิดความมั่นคงทางการเงินและอิสรภาพมากขึ้น
ตัวอย่างของ Passive Income ที่เราพบเห็นบ่อย ๆ ได้แก่
รายได้จากทรัพย์สิน:
- การปล่อยเช่า: เช่น การให้เช่าบ้าน คอนโดมิเนียม หรืออสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ
- การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์: การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือกองทุนอสังหาริมทรัพย์
รายได้จากการลงทุน:
- ดอกเบี้ยจากเงินฝาก: การฝากเงินในบัญชีเงินฝากกับสถาบันการเงิน
- ผลตอบแทนจากหุ้น: เงินปันผลที่ได้รับจากการลงทุนในหุ้น หรือกองทุนรวมหุ้น
- รายได้จากตราสารหนี้: ดอกเบี้ยจากตราสารหนี้ หรือกองทุนรวมตราสารหนี้
- ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์: กรมธรรม์บางประเภทที่ให้ผลตอบแทนเป็นเงินคืน หรือเงินปันผล
รายได้จากธุรกิจและทรัพย์สินทางปัญญา:
- การขายสินค้าออนไลน์แบบอัตโนมัติ: การสร้างระบบการขายที่สามารถสร้างรายได้ต่อเนื่อง
- การขายคอร์สเรียนออนไลน์: การสร้างคอร์สเรียนแล้วขายได้เรื่อย ๆ
ข้อดีของการมี Passive Income นอกจากจะเป็นรายได้อีกทางหนึ่งแล้ว ยังเป็นการสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต แต่ก็ต้องไม่ลืมข้อจำกัดของการสร้าง Passive Income คือเมื่อผลตอบแทนเท่ากัน การจะได้ผลตอบแทนเป็นจำนวนเงินที่มากพอนั้นต้องอาศัยเงินลงทุนจำนวนมาก ตัวอย่างที่ยกมาคงจะทำให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น
5% ของเงิน 100 = 5
แต่ 5% ของเงิน 1,000,000 = 50,000
ซึ่งการจะมี Passive Income ที่เป็นกอบเป็นกำได้ต้องมีเงินออมที่มากพอ และการจะมีเงินออมจำนวนมากพอก็ต้องใช้เวลาในการสะสม แต่ด้วยวิถีชีวิตผู้คนในวันนี้ เป็นการยากที่จะลดระยะเวลาในการสร้างเงินออมเพื่อไปสร้าง Passive Income ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า คนในปัจจุบันมีรายจ่าย 36% หมดไปกับอาหารและเครื่องดื่ม และมีรายจ่ายในส่วนที่อยู่อาศัยและเครื่องใช้ (21%) กับการเดินทาง (17%) นั่นหมายถึง ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตรวมแล้ว 74% หรือ 2 ใน 3 ถูกใช้เพื่อการอยู่รอด การจะวางแผนสำหรับอนาคตจึงไม่ง่ายเลย
นี่ยังไม่นับรวม “เงินเฟ้อ” และยังสามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่า เราจะต้องรัดเข็มขัดมากขึ้น จากค่าครองชีพที่บีบรัด หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น และเศรษฐกิจที่เติบโตช้าลง
แล้วเราจะสร้าง Passive Income ได้อย่างไร ในเมื่อทุกวันนี้รายได้ส่วนใหญ่หมดไปเพื่อการอยู่รอด การก่อหนี้ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการวางแผนการเงินก็เพิ่มสูงขึ้น มีรายงานระบุว่าหนี้ครัวเรือนแตะ 16.36 ล้านล้านบาท คิดเป็น 91.3% ของจีดีพี เฉลี่ย 740,596 บาทต่อครัวเรือน ซึ่งเพิ่มขึ้น 22.1% จากปีก่อนหน้า สาเหตุสำคัญคือรายรับไม่เพียงพอกับรายจ่าย
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
บทเรียนจากคนรุ่นใหญ่ถึงคนรุ่นใหม่: วิกฤติ Early Retire 45 ปี
‘หาได้เพิ่มเท่าไร ใช้เท่าเดิม’ สูตรลับสู่ความมั่งคั่งที่ยั่งยืนของมนุษย์เงินเดือน
เตรียมตัวสู่การเป็น ‘ทศวรรษที่สูญหาย’




