Share on
×

Share

ดีป้าแจงปมสรรหา ยันถูกกฎหมาย-ขยายเวลารับสมัคร

ดีป้าแจงปมสรรหา ยันถูกกฎหมาย-ขยายเวลารับสมัคร

ท่ามกลางกระแสความสนใจและข้อกังขาทางสังคมต่อกระบวนการสรรหาผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า ประเด็นสำคัญที่ถูกจับตามองไม่ได้มีเพียงข้อสั่งการ “ทบทวน” จากกระทรวงดีอี แต่ยังรวมถึงรายละเอียดปลีกย่อยที่สะท้อนถึงความซับซ้อนและความท้าทายในการสรรหาครั้งนี้ ซึ่ง ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ได้ชี้แจงอย่างละเอียดในหลายมิติที่สังคมให้ความสนใจ

ไขปมนาฬิกา 180 วัน: กฎหมายเฉพาะที่คนอาจไม่รู้

จุดเริ่มต้นของความเข้าใจคลาดเคลื่อนสำคัญในครั้งนี้ อาจอยู่ที่ “สถานะทางกฎหมาย” ของ ดีป้า ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อ “กรอบเวลา” ที่ใช้ในการสรรหาผู้อำนวยการ

ผศ.ดร.ณัฐพล อธิบายว่า สังคมอาจมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า ดีป้า เป็นองค์กรมหาชนทั่วไป ที่จัดตั้งขึ้นโดย “พระราชกฤษฎีกา” (พ.ร.ฎ.) เหมือนกับหน่วยงานอื่น ๆ เช่น NIA หรือ BDI

แต่ในความเป็นจริง ดีป้า ถูกจัดตั้งขึ้นตาม พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 ซึ่งมีสถานะเป็น “พระราชบัญญัติฉบับเฉพาะ” หรือที่เรียกว่า “กลุ่มทีเอ” (TA) คือมีกฎหมายและข้อบังคับเป็นของตัวเอง

ความแตกต่างทางกฎหมายนี้เอง ที่ส่งผลต่อ “เวลาเริ่มต้น” ของกระบวนการสรรหา:

  • ดีป้า (พ.ร.บ. เฉพาะ): ตามข้อบังคับเฉพาะของ ดีป้า กำหนดให้ต้องเริ่มกระบวนการสรรหาล่วงหน้า 180 วัน (หรือประมาณ 6 เดือน) ก่อนที่ผู้อำนวยการจะครบกำหนดตามวาระ
  • องค์กรมหาชนทั่วไป (พ.ร.ฎ.): องค์กรมหาชนอื่น ๆ มักจะมีกรอบเวลาให้เริ่มกระบวนการล่วงหน้าเพียง 120 วัน (หรือประมาณ 4 เดือน)
TIMELINE สรรหา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล

อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.ณัฐพล ย้ำว่า แม้ “จุดเริ่มต้น” จะแตกต่างกัน แต่ “หัวใจสำคัญ” ของกระบวนการหลังจากนั้น มีกรอบเวลาที่เหมือนกันทั้งสองแบบ

นั่นคือ เมื่อมีการ “แต่งตั้งคณะอนุกรรมการสรรหาฯ” อย่างเป็นทางการแล้ว “นาฬิกา” จะเริ่มนับ 1 ทันที โดยคณะอนุกรรมการชุดนี้ จะต้องดำเนินการสรรหาให้แล้วเสร็จภายในกรอบเวลา 90 วัน

ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น เช่น มีผู้สมัครจำนวนมาก หรือยังไม่สามารถตัดสินใจคัดเลือกได้ คณะกรรมการสามารถขอขยายระยะเวลาได้อีกไม่เกิน 60 วัน

กรอบเวลา 90 วัน (บวก 60 วัน) นี้จึงเป็น “เส้นตาย” ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะหากกระบวนการสรรหาโดยคณะอนุกรรมการฯ ไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลานี้ อำนาจในการสรรหาจะเปลี่ยนมือไป โดยต้องเข้าสู่กระบวนการให้ กพม. (คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน) เสนอเรื่องให้รัฐมนตรีฯ เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่งตั้งโดยตรง นี่คือประเด็นหลักที่ทำให้เกิดความกังวลว่า ดีป้า ดำเนินการ “เกินเวลา” หรือไม่

วิเคราะห์ข้อกังวลดีอีและจดหมายเร่งรัดจากกพม.

หัวใจของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น จนนำไปสู่การตั้งคำถามจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี) อยู่ที่การตีความ “กรอบเวลา 90 วัน” ของกระบวนการสรรหา

ผศ.ดร.ณัฐพล ชี้แจงว่า ความกังวลของกระทรวงดีอี อาจเกิดจากความเข้าใจว่ากรอบเวลา 90 วันที่คณะอนุกรรมการสรรหาฯ ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จนั้น ได้ “เกินกำหนด” ไปแล้ว

ประเด็นนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะหากกระบวนการสรรหา “เกินเวลา” ตามที่ถูกตั้งข้อสังเกตจริง ผลทางกฎหมายจะร้ายแรงต่อกระบวนการที่ดำเนินอยู่ ผศ.ดร.ณัฐพล อธิบายว่า อำนาจในการสรรหาจะหลุดจากมือของคณะกรรมการสรรหาทันที และกระบวนการจะต้องถูกยกระดับไปสู่ขั้นตอนถัดไป นั่นคือ คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน (กพม.) จะต้องเป็นผู้เสนอเรื่องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี เพื่อนำรายชื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาแต่งตั้งโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ดีป้า ยืนยันอย่างหนักแน่นว่ากระบวนการยังคง “อยู่ในกรอบเวลา” โดยอ้างอิงหลักฐานสำคัญคือจดหมายตอบกลับจากทาง กพม. (หรือ กพร. ตามที่ ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวถึง) ที่ส่งมาเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568

ผศ.ดร.ณัฐพล ตีความจดหมายฉบับนี้ว่า เนื้อหาในจดหมายระบุให้ ดีป้า “เร่งดำเนินการ” สรรหาให้เป็นไปตามกฎหมายและกรอบระยะเวลา ซึ่งในมุมมองของ ดีป้า นี่ไม่ใช่ “คำสั่งหยุด” หรือการชี้ว่ากระบวนการได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่คือการยืนยันว่า กพม. รับทราบว่ากระบวนการกำลังดำเนินอยู่ และเป็นการ “เร่งรัด” ให้ ดีป้า ดำเนินการต่อให้แล้วเสร็จทันตามกำหนดเวลา

เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า ความกังวลของ กพม. คือ “กลัวว่าเราทำไม่ทัน” ไม่ใช่การสั่งให้ยุติกระบวนการ “คือเขาต้องการเร่ง ไม่ใช่ต้องการ [หยุด]” ซึ่งทาง ดีป้า ก็ได้ตอบกลับไปแล้วว่ากระบวนการยังอยู่ในกรอบเวลาที่กำหนด

เบื้องหลังการขยายเวลา: การยอมรับข้อผิดพลาดและการแก้ปัญหาเร่งด่วน

ประเด็นการขยายเวลารับสมัคร จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ออกไปเป็นวันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 ถือเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ต้องกล่าว “ขออภัย” ต่อสังคมอย่างจริงจัง เขายอมรับว่านี่คือข้อผิดพลาดในการสื่อสารประชาสัมพันธ์ภายใน

ผศ.ดร.ณัฐพล ได้อธิบายถึงเบื้องหลังของเหตุการณ์นี้อย่างละเอียดว่า ไม่ใช่เพียงความผิดพลาดในการประสานงานทั่วไป แต่เกิดจากเหตุสุดวิสัยส่วนบุคคล โดยระบุว่าผู้อำนวยการท่านหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เป็นเลขานุการของคณะกรรมการสรรหา ประสบปัญหาสุขภาพส่วนตัว ประกอบกับคู่สมรสเพิ่งเสียชีวิต สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรง ทำให้การส่งต่อหรือประสานงาน (Handover) ภายในไม่ต่อเนื่องและเกิดช่องว่างขึ้น

ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ ฝ่ายประชาสัมพันธ์อาจไม่ได้รับการประสานงานที่ชัดเจนจากฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) เมื่อมีการนำประกาศไปลงในช่องทางสาธารณะอย่าง Facebook จึงกำหนดวันสิ้นสุดการรับสมัครไว้ตามกำหนดเดิมคือ 17 พฤศจิกายน ซึ่งสร้างความกังวลและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างมากว่า เป็นระยะเวลาที่กระชั้นชิดเกินไป ทำให้ผู้ที่สนใจ “เตรียมตัวไม่ทัน”

เพื่อแก้ไขข้อกังวลดังกล่าว และสร้างความเท่าเทียมให้กับผู้สมัคร คณะอนุกรรมการสรรหาฯ จึงต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยตัดสินใจขยายระยะเวลาออกไปอีกประมาณ 5 วัน จนถึงวันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน ผศ.ดร.ณัฐพล เน้นย้ำว่า การขยายเวลานี้ยังคงอยู่ภายใต้กรอบเวลา 90 วันตามกฎหมาย และไม่ขัดต่อกระบวนการหรือหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้

สำหรับการอนุมัติที่รวดเร็วนี้ ผศ.ดร.ณัฐพล เปิดเผยว่า ได้ใช้กลไก “มติเวียน” (Circular Resolution) ซึ่งดำเนินการผ่านห้องไลน์ (LINE group) ของคณะอนุกรรมการฯ โดยชี้แจงว่าตามหลักกฎหมาย เมื่อมีการแจ้งและผู้มีอำนาจในคณะกรรมการได้รับทราบและแจ้งเห็นชอบกลับมา ก็สามารถใช้เป็นมติที่ถูกต้องได้

สยบข่าวลือ “สืบทอดอำนาจ” และการเปิดทางให้ “คนใน”

หนึ่งในประเด็นที่สังคมให้ความสนใจมากที่สุด คือข้อกังวลเรื่อง “การสืบทอดอำนาจ” หรือการวางตัว “คนใน” เพื่อรับตำแหน่งต่อ ซึ่ง ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ได้อธิบายกลไกทางกฎหมายของ ดีป้า ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันปัญหานี้โดยเฉพาะ รวมถึงชี้แจงข้อกังวลต่าง ๆ อย่างชัดเจน

กฎเหล็ก “มาพร้อมกัน ไปพร้อมกัน”

ผศ.ดร.ณัฐพล อธิบายว่า กฎหมายจัดตั้ง ดีป้า มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากองค์กรมหาชนในอดีต นั่นคือการใช้หลักการ “มาพร้อมกัน ไปพร้อมกัน”

เขาระบุว่า กฎหมายเขียนไว้ชัดเจนว่า เมื่อผู้อำนวยการใหญ่หมดวาระ (ซึ่ง ผศ.ดร.ณัฐพล จะหมดวาระในวันที่ 20 กรกฎาคม 2568) รองผู้อำนวยการทั้ง 4 คน ก็จะต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วยพร้อมกัน หลักการนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ทีมผู้บริหาร “อยู่เรือลำเดียวกัน” และแก้ไขปัญหาในอดีตที่ผู้อำนวยการคนใหม่ต้องมาทำงานกับทีมรองผู้อำนวยการชุดเดิม ซึ่งอาจสร้างปัญหาในการบริหารจัดการได้

“คนใน” มีสิทธิ์สมัคร แต่ต้องลงสนามแข่ง

แม้ว่ารองผู้อำนวยการทั้ง 4 คนจะต้องพ้นจากตำแหน่งตามวาระของผู้อำนวยการ แต่ ผศ.ดร.ณัฐพล ยืนยันว่า พวกเขา “มีสิทธิ์” ที่จะสมัครเข้ารับการคัดเลือกในตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ได้

เขาต้องการให้สื่อมวลชนช่วยสื่อสารประเด็นนี้ให้ชัดเจนว่า “สมัครได้นะครับ” เพียงแต่ต้องเข้ามาในกระบวนการสรรหาและแข่งขันกับผู้สมัครจากภายนอกอย่างเท่าเทียม ไม่มีการแต่งตั้งหรือสืบทอดตำแหน่งโดยอัตโนมัติ

ผู้สมัคร “ฉายเดี่ยว” ได้ ไม่ต้องมีทีม

อีกหนึ่งข้อกังวลสำคัญคือ ผู้สมัครจะต้องเสนอรายชื่อทีมรองผู้อำนวยการทั้ง 4 คนมาพร้อมกันเลยหรือไม่ ซึ่ง ผศ.ดร.ณัฐพล ได้ชี้แจงให้เกิดความชัดเจนว่า “ไม่จำเป็น”

ผู้ที่สนใจสามารถยื่นใบสมัครในตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ “คนเดียวก็ได้” เขากล่าวว่า “มาคนเดียวแล้วค่อยมาคุยแล้วค่อยมาตั้งก็ได้” ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาและลดอุปสรรคให้กับผู้สมัครจากภายนอก ที่อาจยังไม่มีทีมงานรองรับ

การันตีการสนับสนุน ไม่มีการขัดขวาง

ผศ.ดร.ณัฐพล ได้กล่าวในนามของทีมผู้บริหารชุดปัจจุบัน เพื่อสยบความกังวลว่าอาจเกิดการต่อต้านผู้นำคนใหม่ โดยเขารับประกันว่า รองผู้อำนวยการทั้ง 4 คนในปัจจุบัน ล้วนมีความตั้งใจในการทำงานเพื่อประเทศชาติ และ “พร้อมที่จะสนับสนุน” ผู้ที่เป็นแคนดิเดต ซึ่งจะได้รับการคัดเลือกผ่านกระบวนการที่โปร่งใส ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใครก็ตาม

ประเด็นท้าทายที่รอการทบทวน

แม้ ผศ.ดร.ณัฐพล จะยืนยันความถูกต้องทางกฎหมายของกระบวนการสรรหาอย่างหนักแน่น แต่เขาก็ยอมรับว่ายังมีข้อกังวลสำคัญบางประการที่สังคมกำลังจับตามอง ซึ่งจำเป็นต้องนำเข้าสู่การพิจารณา “ทบทวน” โดยคณะกรรมการกำกับ ดีป้า อย่างเร่งด่วน โดยได้นัดประชุมวาระพิเศษนี้ใน วันจันทร์ (17 พ.ย. 68) เวลา 10:00 น.

ประเด็นสำคัญที่รอการพิจารณาอย่างรอบคอบ มีดังนี้:

1. ข้อกังวลเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest)

ประเด็นสำคัญที่ถูกตั้งคำถามอย่างมากในสังคม คือการที่ตัว ผศ.ดร.ณัฐพล เอง ซึ่งเป็นผู้อำนวยการคนปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งเป็น “กรรมการและเลขานุการ” ในคณะกรรมการสรรหาชุดนี้ด้วย

ผศ.ดร.ณัฐพล ได้ชี้แจงถึงเจตนาเดิมว่า การที่เขาเข้าไปนั่งในตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการสรรหา ก็เพื่อ “ให้คอนเท็กซ์เหตุ” (ให้ข้อมูลบริบท) เนื่องจากมองว่าหากขาดความเข้าใจในเนื้องาน อาจทำให้กระบวนการอ่อนแอหรือถูกแทรกแซงได้ง่าย

อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าบทบาทนี้อาจทำให้เกิดข้อครหา หรือทำให้สังคมตั้งคำถามว่า “มาคอยเชียร์คนหรือเปล่า หรือเชียร์ว่าตัวเองหรือเปล่า” แม้เขาจะยืนยันว่าตนเองไม่ได้ต้องการอยู่ในตำแหน่งต่อและไม่ได้เชียร์ใครเป็นพิเศษ แต่เขาก็รับทราบข้อกังวลนี้ และยืนยันว่าจะนำประเด็นดังกล่าวเข้าสู่การทบทวนในที่ประชุมคณะกรรมการกำกับฯ ในวันจันทร์อย่างแน่นอน

2. ความท้าทายของการ “ไลฟ์สด” แสดงวิสัยทัศน์

แม้ว่า ดีป้า จะมีแผนสร้างความโปร่งใสขั้นสูงสุด ด้วยการ “ถ่ายทอดสด” (Live) การแสดงวิสัยทัศน์ของผู้สมัครทุกคน เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมตรวจสอบ และสามารถท้วงติงได้หากเห็นว่าคณะกรรมการเลือกคนที่ไม่เหมาะสม แต่แนวทางนี้ก็นำมาซึ่งความท้าทายใหม่ที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

ผศ.ดร.ณัฐพล ยอมรับว่ามีข้อกังวลว่า คณะกรรมการจะประเมินผู้สมัครอย่างไร หากเกิดกรณีที่ประชาชน “ถูกใจ” หรือเทคะแนนโหวตให้ผู้สมัครที่ “พูดเก่ง” มีภาพลักษณ์ดีเหมือน “เซเลบริตี้” (Celebrity) แต่ในความเป็นจริง “คนพรีเซนต์เก่งก็ไม่ใช่แปลว่าคนมีโปรไฟล์เก่ง”

เขาระบุว่า คณะกรรมการจะต้องระมัดระวังในการประเมิน และประเด็นเรื่องวิธีการคัดกรองระหว่าง “ภาพลักษณ์ที่ถูกใจประชาชน” กับ “คุณสมบัติและโปรไฟล์การทำงานที่เหมาะสม” นี้ เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องนำเข้าหารือในที่ประชุมเพื่อกำหนดแนวทางที่ชัดเจนต่อไป

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

AWS เลือก ‘ไต้ฝุ่น’ AI ภาษาไทยหนึ่งเดียวในอาเซียนจาก SCB10X เข้าโปรแกรม AI Accelerator

4 นักวิจัยหญิงไทยคว้ารางวัล ‘ลอรีอัล’ ชู 4 นวัตกรรมแก้โจทย์ใหญ่ประเทศ

ดีป้า ชู Digital Skill Roadmap สร้างกำลังคนดิจิทัลเพิ่ม 1 ล้านคนต่อปี ดึง Global Tech ร่วมพัฒนาหลักสูตร

×

Share

ผู้เขียน