Share on
×

Share

‘ว่ายทวนน้ำ’ ปรัชญาพลิกชีวิตการเงินและอาชีพ จาก ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน

'ว่ายทวนน้ำ' ปรัชญาพลิกชีวิตการเงินและอาชีพ จาก ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน

ในยุคที่เสียงบ่นว่า “ชีวิตมันยาก” ดังกว่าเสียงใด ๆ และอนาคตดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความท้าทาย ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน Host ประจำรายการ 8 Minute History และผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วหลายสมรภูมิชีวิต ได้ลุกขึ้นมาส่งสารบนเวที Money Freedom Forum 2025 ที่สวนกระแสอย่างสิ้นเชิง เขาสรุปแก่นของการพลิกชีวิตไว้ในคำเพียงสามคำ “ว่ายทวนน้ำ”

นี่ไม่ใช่แค่คำคมเท่ ๆ แต่มันคือปรัชญาหลักที่เขาเชื่อว่าสามารถปลดล็อกคนธรรมดาคนหนึ่งให้หลุดจากสมการชีวิตแบบเดิม ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตการเงินที่เคยติดลบหรือเส้นทางอาชีพที่ต้องระหกระเหินไปในงานที่ไม่เคยรัก

“Mindset” อาวุธชิ้นแรกที่ต้องลับให้คม

ดร.วิทย์ เริ่มต้นเจาะลึกถึงรากฐานที่สำคัญที่สุดของการเปลี่ยนแปลงชีวิต ด้วยการชี้ให้เห็นถึง “กับดักทางความคิด” ที่ทรงอิทธิพลที่สุด ซึ่งคอยฉุดรั้งผู้คนจำนวนมากในยุคปัจจุบัน นั่นคือ การยอมจำนนต่อโชคชะตา

เรามักจะได้ยินเสียงตัดพ้ออยู่เสมอว่า “เราเกิดมาไม่พร้อม” “ครอบครัวไม่ร่ำรวย” หรือ “การศึกษาไม่ดีพอ” หลายคนรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกทิ้งไว้ข้างหลังในโลกที่หมุนเร็วและต้องแข่งขันกับเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง AI ความคิดเหล่านี้เปรียบเสมือนโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น ซึ่ง ดร.วิทย์ ยืนยันว่า “ถ้า Mindset ของท่านถูกจองจำอยู่ในความคิดว่าเราเปลี่ยนชีวิตตัวเองไม่ได้ เราก็จะไม่มีวันเปลี่ยนมันได้”

เพื่อให้เข้าใจแนวคิดนี้อย่างลึกซึ้ง เขาได้เปรียบเทียบทักษะและความสามารถต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ความสามารถทางภาษา หรือความรู้เรื่อง AI เป็นเพียง “แอปพลิเคชัน” ที่เราสามารถติดตั้งเพิ่มเติมได้ แต่ Mindset นั้นสำคัญกว่า เพราะมันคือ “ระบบปฏิบัติการ (OS)” ของชีวิต หากระบบปฏิบัติการพื้นฐานเต็มไปด้วยข้อจำกัด ติดไวรัสแห่งความท้อแท้ หรือไม่ยอมรับการอัปเดต ต่อให้เรามีแอปพลิเคชันที่ดีเลิศเพียงใด ก็ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ

เพื่อให้ภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ดร.วิทย์ ได้หยิบยกตัวอย่างจากวรรณกรรมคลาสสิกอย่าง “มังกรหยก” มาเป็นอุทาหรณ์สอนใจ ผ่านชีวิตของสองตัวละครที่มีจุดเริ่มต้นต่างกันสุดขั้ว

ก๊วยเจ๋ง คือ ตัวแทนของผู้ที่ “มามืด” เขาเกิดมากำพร้าพ่อ เติบโตในต่างแดน และถูกมองว่าเป็นเด็กหัวทึบ แต่ด้วยทัศนคติที่ไม่ยอมแพ้ มีความมุมานะ และเปิดใจเรียนรู้ ทำให้สุดท้ายเขากลายเป็นจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม หรือที่เรียกว่า “ไปสว่าง”

เอี้ยคัง คือ ในทางตรงกันข้าม เขาคือผู้ที่ “มาสว่าง” เกิดมาในฐานะเพียบพร้อม มีทั้งสติปัญญาเฉียบแหลมและฐานันดรสูงส่ง แต่ด้วยทัศนคติที่ผิดพลาด หลงใหลในอำนาจและขาดซึ่งคุณธรรม กลับนำพาชีวิตของเขาดิ่งลงสู่จุดจบที่น่าอดสู หรือ “ไปมืด”

เรื่องราวนี้ตอกย้ำแนวคิดของ ดร.วิทย์ ที่ว่า มนุษย์เรามีอำนาจในการปรับเปลี่ยนชีวิตได้ตลอด จุดเริ่มต้นไม่ใช่ตัวตัดสินชี้ขาด แต่เป็นทัศนคติและการเลือกกระทำของเราต่างหากที่จะกำหนดปลายทางของชีวิต

เขายังได้เสริมมุมมองนี้ด้วยการเล่าถึงทัศนคติของชาวเยอรมัน จากคำบอกเล่าของอดีตทูต ที่มีความเชื่อฝังลึกว่า “Niemand ist machtlos” ซึ่งแปลว่า “ไม่มีใครที่ไร้อำนาจ” พวกเขาเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีพลังในการกำหนดและเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตนเองได้เสมอ ซึ่งเป็นแนวคิดที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับทัศนคติการรอคอยความช่วยเหลือจากภายนอก ดังที่มักได้ยินในสังคมไทยว่า “รัฐต้องช่วย”

ดังนั้น อาวุธชิ้นแรกและสำคัญที่สุดในการต่อสู้กับความท้าทายทั้งปวง จึงไม่ใช่ทักษะจากภายนอก แต่คือ “Mindset” หรือกระบวนทัศน์จากภายใน ที่เชื่อมั่นในศักยภาพของตนเองและพร้อมที่จะเรียนรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นด้วยมือของเราเอง

เปลี่ยนงานที่ไม่รักให้เป็น “ห้องเรียน” ชั้นดี

หนึ่งในคำแนะนำที่คนรุ่นใหม่มักได้ยินจนคุ้นหูคือ “จงทำในสิ่งที่รัก” แต่ ดร.วิทย์ กล่าวว่า “ในชีวิตจริง เราไม่ได้เจองานที่เรารักอยู่ตลอดเวลา” คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่าจะหามันเจอได้อย่างไร แต่คือเราจะรับมือกับสถานการณ์ที่ต้องทำงานในสิ่งที่ไม่ชอบได้อย่างไรต่างหาก

ทางออกที่เขาเสนอ คือการปรับมุมมองโดยหยิบยืมปรัชญาของ Steve Jobs ที่กล่าวว่า “ไม่ต้องหาสิ่งที่เรารัก แต่จงบีบบังคับให้ตัวเองรักสิ่งที่เราทำ” นี่ไม่ใช่การหลอกตัวเองให้มีความสุข แต่คือการเปลี่ยนทัศนคติจากการเป็น “ผู้ทนทำงาน” ไปสู่การเป็น “ผู้เรียนรู้” ในทุกสถานการณ์

ประสบการณ์ของ ดร.วิทย์ คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุด เขาเล่าถึงเส้นทางอาชีพที่ต้องเผชิญกับงานซึ่งขัดกับตัวตนและความชอบอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่การเป็น “บริกร” ที่ต้องรองรับอารมณ์ของผู้คน ไปจนถึงการเปลี่ยนสายงานครั้งใหญ่ จากความหรูหราและความเร็วของโลกยานยนต์ที่เขาเปรียบเปรยว่าเหมือนการดูคอนเสิร์ตของ “Michael Jackson” ไปสู่ความเงียบเชียบและกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดของโลกการธนาคาร ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนการนั่งฟังดนตรีไทยในเรื่อง “โหมโรง”

ในช่วงเวลาแห่งความสับสนนั้นเอง ที่เขาได้รับกุญแจสำคัญในการปลดล็อกทัศนคติจากคำแนะนำของพี่สาวที่ว่า “อย่าคิดว่าไปทำงาน แต่ให้คิดว่าไปเรียนปริญญาโทการเงินอีกใบ”

คำพูดเพียงประโยคเดียวนี้ได้เปลี่ยนทุกอย่าง มันคือการเปลี่ยนกรอบความคิดอย่างสิ้นเชิง จากที่เคยมองว่าธนาคารคือสถานที่ทำงานที่ไม่น่าอภิรมย์ มันได้กลายสภาพเป็น “ห้องเรียนขนาดใหญ่” ที่เต็มไปด้วยองค์ความรู้ใหม่ ๆ ที่รอให้เขาไปตักตวง จากคนที่เคยเกลียดและปิดกั้นตัวเองจากเรื่องการเงิน เขากลับกลายเป็นคนช่างซักช่างถาม และเริ่มมองเห็นคุณค่าที่ซ่อนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย

ดร.วิทย์ สรุปหลักการนี้ไว้ว่า ทุกสถานการณ์ในชีวิต ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ ล้วนเป็นแหล่งเรียนรู้ชั้นยอด ศักยภาพในการเติบโตของเราไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเนื้องาน แต่ถูกจำกัดด้วย Mindset ของเราเอง

“ถ้า Mindset เราปิด แล้วบอกว่านี่ไม่ใช่งานของเรา เราจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ชีวิตก็จะไม่ไปไหน แต่ถ้าเราถามตัวเองตลอดเวลาว่า เราเรียนรู้อะไรจากมันได้บ้าง แม้แต่ในบทบาท ‘ตัวสำรอง’ ที่ไม่มีใครเห็นค่า เราก็สามารถหาจุดเด่นและสร้างมูลค่าเพิ่มให้ตัวเองได้เสมอ”

ดังนั้น เสาหลักที่สองแห่งความสำเร็จจึงไม่ใช่การได้ทำงานที่รักเสมอไป แต่คือความสามารถในการเปลี่ยนทุกงานให้กลายเป็นโอกาสในการเรียนรู้ เพื่อสั่งสมเป็นจิ๊กซอว์แห่งประสบการณ์ที่จะนำไปสู่ภาพความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ขึ้นในอนาคต

ปลุกยักษ์ทางการเงินด้วย “วินัย” และคำถามที่เปลี่ยนชีวิต

มาถึงเสาหลักสุดท้าย ซึ่งอาจเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดในการสร้างชีวิตที่มั่นคง นั่นคือเรื่องการเงิน ดร.วิทย์ ได้เล่าถึงจุดเปลี่ยนที่เปรียบเสมือนการตื่นรู้ทางการเงินของเขา ซึ่งเริ่มต้นจากคำถามที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ที่เขาตัดสินใจถามผู้บริหารธนาคารท่านหนึ่งว่า “พี่ครับ คำว่า ‘ความมั่นคงทางการเงิน’ แท้จริงแล้วมันคือเงินกี่บาทครับ?”

คำถามนี้ได้ทลายกำแพงของศัพท์แสงทางการเงินที่ซับซ้อน และคำตอบที่ได้รับกลับมาก็เป็นเหมือนการสาดน้ำเย็นที่ปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์แห่งการใช้ชีวิตไปวัน ๆ

นิยามที่จับต้องได้: “คุณต้องมีเงินเก็บให้เท่ากับรายจ่าย 24 เดือน” นี่ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นหลักการที่สมเหตุสมผล เพราะวิกฤตเศรษฐกิจหนึ่งรอบอาจใช้เวลาฟื้นตัวนานถึง 2 ปี เงินสำรองก้อนนี้จึงเป็นเสมือน “เกราะป้องกัน” ที่จะช่วยให้เราประคองชีวิตให้ผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดไปได้โดยไม่ล้มลง

เป้าหมายที่ชัดเจน: เมื่อถามต่อไปถึงคำว่า “เศรษฐี” คำตอบที่ได้รับก็ชัดเจนไม่แพ้กัน นั่นคือ “หนึ่งล้านดอลลาร์”

คำตอบทั้งสองได้เปลี่ยนเป้าหมายที่เคยเลื่อนลอยให้กลายเป็นตัวเลขที่จับต้องได้ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ได้สะท้อนความจริงอันโหดร้ายกลับมาที่ตัวเขา “วันนั้นผมล้วงกระเป๋าตัวเองเจอแต่ฝอยกางเกง” เขาเล่าอย่างติดตลกแต่น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความจริงจัง ที่ทำให้เห็นช่องว่างมหาศาลระหว่างเป้าหมายที่อยากไปให้ถึงกับจุดที่ยืนอยู่ในปัจจุบัน และนำไปสู่คำถามที่จี้ใจดำที่สุดว่า “แล้วมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ต้องใช้เวลากี่ชาติถึงจะเป็นเศรษฐีได้?”

จุดนั้นเองที่สมการทางการเงินในหัวของเขาได้เปลี่ยนไปตลอดกาล เขาตระหนักว่าลำพังการรอเงินเดือนขึ้นเพียงอย่างเดียวไม่มีทางเป็นคำตอบ มันจำเป็นต้องมีการบริหารเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง และก้าวแรกที่สำคัญที่สุด ซึ่งเปรียบได้กับการว่ายทวนน้ำอย่างแท้จริง คือการปฏิวัติทัศนคติทางการเงินครั้งใหญ่ จากเดิมที่เคยชินกับการใช้จ่ายก่อน เหลือเท่าไหร่ค่อยออม ไปสู่หลักการที่ทรงพลังกว่า นั่นคือ ออมก่อน แล้วที่เหลือค่อยนำไปใช้

นี่คือการต่อสู้กับกิเลสและความอยากของตัวเองโดยตรง เป็นการฝึกวินัยที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ดร.วิทย์ ได้ทิ้งท้ายเป็นเครื่องเตือนสติแก่คนรุ่นใหม่ว่า การสร้างวินัยทางการเงินไม่ใช่สิ่งที่ต้องรอให้พร้อมหรือมีเงินเยอะก่อนแล้วค่อยทำ เพราะเวลาคือศัตรูของการผัดวันประกันพรุ่ง ยิ่งเริ่มต้นช้า ความท้าทายในอนาคตก็จะยิ่งสูงขึ้นเป็นทวีคูณ

เพราะท้ายที่สุดแล้ว วันเกษียณที่ทุกคนวาดฝันว่าจะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข อาจกลายเป็นฝันร้ายที่ยาวนานได้ หากเราปราศจากการวางแผนและการลงมือทำตั้งแต่วันนี้

อย่าภาวนาให้ชีวิตง่าย แต่จงสร้างตัวเองให้แกร่ง

ในช่วงท้ายของการบรรยาย ดร.วิทย์ ได้มอบมุมมองที่เฉียบขาดและท้าทายความคิดของผู้ฟัง เขาสะท้อนความจริงจากประสบการณ์ชีวิตว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยได้ยินใครสักคนพูดว่า “เศรษฐกิจดี” เลย ไม่ว่าจะในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดหรือในประเทศที่มั่งคั่งที่สุดก็ตาม เสียงบ่นและความรู้สึกว่าชีวิตเต็มไปด้วยอุปสรรคดูเหมือนจะเป็นสภาวะปกติของมนุษย์เรา

ความจริงข้อนี้ นำไปสู่ปรัชญาการใช้ชีวิตที่ทรงพลังและเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องราวทั้งหมด

“อย่าภาวนาให้เจอกับชีวิตที่ง่าย แต่จงภาวนาให้ตัวท่านมีความแข็งแกร่งพอที่จะต่อสู้กับชีวิตที่มันยาก ๆ”

นี่คือการเปลี่ยนสมการจาก “การรอคอยปัจจัยภายนอก” ให้กลายมาเป็น “การสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน” แทนที่จะหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าโลกจะใจดีกับเรา หรืออุปสรรคจะหายไปเอง เราควรหันกลับมามุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพของตนเองให้พร้อมรับมือกับทุกความท้าทาย เพราะความยากลำบากนั้นเป็นของเที่ยงแท้ แต่ความแข็งแกร่งของเราคือสิ่งที่เราสร้างขึ้นเองได้

แล้วเราจะสร้างความแข็งแกร่งนั้นขึ้นมาได้อย่างไร? ดร.วิทย์ ได้ปิดท้ายด้วยภาพเปรียบเทียบที่งดงามว่าชีวิตของคนเรานั้นเปรียบเสมือน “การต่อจิ๊กซอว์” ภาพชีวิตที่สมบูรณ์และสวยงามจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากปราศจากชิ้นส่วนเล็ก ๆ ที่เราต้องลงมือสร้างและเก็บสะสมในทุก ๆ วัน

จิ๊กซอว์แต่ละชิ้นนั้นก็คือพลังแห่งการเรียนรู้ ที่เราสกัดออกมาจากทุกประสบการณ์ ไม่ว่าจะเป็นวันที่เราประสบความสำเร็จ หรือวันที่เราต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลว การได้พบเจอกับคนที่ยอดเยี่ยม หรือแม้กระทั่งคนที่ทำให้เราผิดหวัง ทุกสถานการณ์ล้วนเป็นบทเรียนอันล้ำค่าที่มอบชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ให้แก่ชีวิต

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

วิกฤติหนี้ครัวเรือนไทย เครดิตบูโรเปิดสัญญาณอันตรายที่ต้องรู้

Money Freedom: 5 ขั้นตอนเปลี่ยนชีวิต จากติดลบสู่ความมั่งคั่ง

ภาษีไทย ใครได้ใครเสีย? เปิดความจริงที่รัฐไม่ได้บอก

×

Share

ผู้เขียน