บทสรุปจากการเสวนา “Digital Leader Shaping Tomorrow” ในงาน Digital Government Summit 2025 ชี้ชัดว่าประเทศไทยกำลังก้าวข้ามยุค “Digital Transformation” ไปสู่ “AI Transformation” อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีฉันทามติจาก 4 ผู้นำองค์กรชั้นนำทั้งภาครัฐและเอกชนว่า ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงลำพัง แต่มีหัวใจสำคัญอยู่ที่ “คน” ที่ต้องมีทักษะและทัศนคติที่พร้อมปรับตัว, “ข้อมูล” ที่ต้องมีคุณภาพและพร้อมใช้งาน และ “แพลตฟอร์มกลาง” ที่แข็งแกร่ง เพื่อเป็นรากฐานในการสร้างนวัตกรรมและบริการที่ตอบโจทย์ประชาชนและธุรกิจอย่างแท้จริง
เวทีเสวนาได้รวบรวมมุมมองจาก 4 ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ จอมขวัญ คงสกุล รองเลขาธิการ สายนวัตกรรมทางการเงินและเทคโนโลยีดิจิทัลและสายเทคโนโลยีดิจิทัล สำนักงาน ก.ล.ต. ไอรดา เหลืองวิไล รองผู้อำนวยการ และรักษาการผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) ดร.ทัดพงศ์ พงศ์ถาวรกมล กรรมการผู้จัดการ KBTG, และ พชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งสะท้อนภาพจิ๊กซอว์ที่สมบูรณ์ของการขับเคลื่อนประเทศในยุค AI ได้อย่างน่าสนใจ
–สรุปจาก ดร.ทัดพงศ์ พงศ์ถาวรกมล ในหัวข้อ AI Economy by AI Ecosystem, AI from one to millions
ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยีแต่คือการ “ทรานส์ฟอร์มคน“
ท่ามกลางกระแสธารแห่งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่เชี่ยวกราก หลายคนอาจคิดว่าบทบาทของมนุษย์กำลังจะลดน้อยลง แต่บนเวทีเสวนากลับเกิดฉันทามติที่สวนทางกันว่า หัวใจที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ไม่ได้อยู่ที่การเปลี่ยน “เครื่องมือ” แต่คือการยกระดับและปฏิวัติ “คนทำงาน” ให้มีทักษะและทัศนคติที่พร้อมสำหรับอนาคต
แนวคิดนี้ถูกทำให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมผ่านโมเดลการพัฒนาบุคลากรของสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่ง คุณจอมขวัญ อธิบายว่า การจะนำ AI มาใช้ในองค์กรให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้น การมีเพียงเทคโนโลยีที่ดีที่สุดยังไม่เพียงพอ แต่ต้องเริ่มต้นจากการปลูกฝัง Innovation Mindset หรือกระบวนทัศน์เชิงนวัตกรรมให้หยั่งรากลึกในบุคลากรทุกคนเสียก่อน
แต่สิ่งที่ทำให้โมเดลของ ก.ล.ต. น่าสนใจ คือการสร้างกลไกขับเคลื่อนที่จับต้องได้ เพื่อทลายกำแพงระหว่างฝ่ายเทคโนโลยีและฝ่ายธุรกิจ ผ่านโครงการที่เรียกว่า AI Master
AI Master ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีที่มาจากส่วนกลาง แต่คือ พนักงานตัวจริงหน้างาน ที่มีความเข้าใจในเนื้องานของตนเองอย่างลึกซึ้ง และมองเห็นโอกาสในการนำ AI มาประยุกต์ใช้ คุณจอมขวัญขยายความว่า “พวกเขาคือ Super User ที่ทำหน้าที่เป็นโค้ช เป็นผู้จุดประกาย” คอยให้คำแนะนำเพื่อนร่วมงานในการใช้เครื่องมือง่าย ๆ อย่าง Low-code/No-code มาสร้างโซลูชันเพื่อแก้ปัญหาของตัวเอง ผลลัพธ์ที่ได้คือวัฒนธรรมองค์กรแบบใหม่ที่เรียกว่า “Smart Citizen Developer” หรือ “พลเมืองนักพัฒนา” ที่ทุกคนสามารถลุกขึ้นมาสร้างนวัตกรรมจากจุดเล็กๆ และขยายผลความสำเร็จนั้นไปทั่วทั้งองค์กรได้ด้วยตนเอง
แนวคิดนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่ ก.ล.ต. เท่านั้น แต่ยังได้รับการตอกย้ำผ่านหลักการ “Human First, AI First” ของ KBTG ซึ่ง ดร.ทัดพงศ์ อธิบายว่า มันคือการวางมนุษย์เป็นศูนย์กลางเสมอในการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมศักยภาพและส่งเสริมการทำงานร่วมกันของทีมเวิร์ค ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ท้ายที่สุดแล้ว เทคโนโลยี AI ที่ล้ำสมัยที่สุดก็ไร้ความหมาย หากปราศจากบุคลากรที่พร้อมจะใช้งานมันอย่างเต็มศักยภาพ
จาก Digital สู่ Data สู่ AI: ลำดับขั้นที่ข้ามไม่ได้
ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI คือเทคโนโลยีที่ทุกองค์กรใฝ่ฝันถึง คำถามสำคัญอาจไม่ใช่ “เราจะใช้ AI อย่างไร” แต่อาจเป็น “เราพร้อมสำหรับ AI แล้วหรือยัง” เพราะหากเปรียบ AI เป็นเครื่องยนต์สมรรถนะสูง ข้อมูล (Data) ก็คือเชื้อเพลิง ที่จะขับเคลื่อนเครื่องยนต์นั้น และองค์กรจะไม่มีวันได้เชื้อเพลิงคุณภาพดีมา หากไม่เริ่มต้นจากการสร้างโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพเสียก่อน
ดร.ทัดพงศ์ กล่าวว่า “ถ้าท่านไม่ทำ Digital Transformation ท่านจะไม่ได้ Data และถ้าท่านไม่มี Data ท่านก็ทำ AI ไม่ได้ โอกาสสำเร็จคือ 0%” คำกล่าวนี้อธิบายเส้นทางการทรานส์ฟอร์มที่ไม่อาจข้ามขั้นได้เป็นอย่างดี คือ
- จุดเริ่มต้น (Digital Transformation) คือการเปลี่ยนกระบวนการทำงานที่เคยอยู่บนหน้ากระดาษหรือทำด้วยมือ (Analog) ให้มาอยู่ในรูปแบบดิจิทัลเสียก่อน เพื่อให้ทุกกิจกรรมขององค์กรถูกบันทึกและจัดเก็บเป็น “ข้อมูลดิบ”
- ขั้นตอนเตรียมการ (Data Transformation) เมื่อมีข้อมูลดิบแล้ว ก็ต้องนำมาผ่านกระบวนการคัดกรอง จัดระเบียบ และทำให้มีคุณภาพ เพื่อให้กลายเป็น “ข้อมูลที่พร้อมใช้” ซึ่งก็คือเชื้อเพลิงชั้นดี
- สู่เป้าหมาย (AI Transformation) เมื่อมีเชื้อเพลิงที่เปี่ยมคุณภาพและปริมาณมากพอแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถนำไปใช้ขับเคลื่อนเครื่องยนต์ AI ให้ทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ
–“พชร อารยะการกุล” CEO รุ่นใหม่ บนภารกิจปั้น “บลูบิค กรุ๊ป” ขึ้นแท่นบริษัทไทยระดับโลก
การเดินทางสู่การเป็นองค์กร AI ไม่ใช่การกระโดดข้ามขั้น แต่เป็นการเติบโตอย่างมีลำดับ คุณพชร นำเสนอ “AI Maturity Model” หรือโมเดลที่เปรียบเสมือนแผนที่นำทางว่าองค์กรจะใช้ประโยชน์จากข้อมูลและ AI ในแต่ละระดับได้อย่างไร
- ขั้นแรก – Assist (ผู้ช่วย) เริ่มจากการนำ AI เข้ามาช่วยงานพื้นฐานซ้ำ ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
- ขั้นที่สอง – Analyze (นักวิเคราะห์) ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลที่องค์กรมี เพื่อหาข้อมูลเชิงลึก (Insight) มาสนับสนุนการตัดสินใจของมนุษย์
- ขั้นที่สาม – Automate (ผู้ปฏิบัติงานอัตโนมัติ) ยกระดับให้ AI เข้ามาทำงานบางกระบวนการได้โดยอัตโนมัติ ทำให้ทั้งเร็วขึ้นและผิดพลาดน้อยลง
- ขั้นสูงสุด – Core Business (แก่นของธุรกิจ) คือการฝัง AI เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของดีเอ็นเอทางธุรกิจ เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันที่คู่แข่งไม่อาจลอกเลียนแบบได้
จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าองค์กรจะอยู่ในขั้นไหนของการเดินทาง ทุกย่างก้าวล้วนตั้งอยู่บนรากฐานเดียวกัน นั่นคือ ความพร้อมด้านข้อมูล หากปราศจากซึ่งรากฐานที่แข็งแกร่งแล้ว การสร้างสรรค์นวัตกรรม AI ให้สำเร็จก็เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ภาครัฐในบทบาทผู้สร้างแพลตฟอร์ม: บริการประชาชนแบบ “Citizen Centric”
หากพูดถึงบริการภาครัฐในยุคดิจิทัลที่ผ่านมา ภาพจำของหลายคนคือการที่แต่ละหน่วยงานต่างพัฒนาระบบหรือแอปพลิเคชันของตัวเอง ทำให้ประชาชนต้องดาวน์โหลดหลายแอปฯ จำหลายรหัสผ่าน และกรอกข้อมูลซ้ำซ้อน นี่คือภาพสะท้อนของการทำงานที่ยึด “หน่วยงานเป็นศูนย์กลาง” (Component Centric) ซึ่งก่อให้เกิดกำแพงข้อมูลที่เรียกว่า “ไซโล”
เพื่อทลายกำแพงเหล่านี้ คุณไอรดา อธิบายว่า สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) กำลังปรับเปลี่ยนบทบาทครั้งสำคัญ จากเดิมที่เป็นผู้สร้างระบบเองทั้งหมด มาสู่การเป็น “ผู้สร้างแพลตฟอร์มกลาง (Platform Provider)” หรือเปรียบเสมือนผู้สร้าง “โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล” ของประเทศ เพื่อให้ทุกหน่วยงานสามารถเข้ามาเชื่อมต่อและใช้ประโยชน์ร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ
โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลนี้ประกอบด้วย 3 เสาหลักที่ทำงานประสานกัน คือ
- ประตูสู่บริการภาครัฐ (แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ”) ทำหน้าที่เป็น “ประตูหน้าบ้าน” เพียงบานเดียวที่ประชาชนต้องเดินผ่าน จากเดิมที่ต้องเข้า-ออกบ้านหลายหลัง (หลายแอปฯ) ปัจจุบัน “ทางรัฐ” ได้รวมบริการกว่า 160 อย่างไว้ในที่เดียว และกำลังจะก้าวไปอีกขั้นด้วยการใช้ AI เข้ามาช่วย “รู้ใจประชาชน” เปลี่ยนจากบริการเชิงรับที่ต้องรอให้คนมาค้นหา เป็น บริการเชิงรุก (Proactive Service) ที่จะคอยแจ้งเตือนสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น สวัสดิการผู้สูงอายุ หรือกำหนดชำระภาษี ให้โดยอัตโนมัติ
- ทางด่วนเชื่อมข้อมูลหลังบ้าน (Government Data Exchange – GDX) หาก “ทางรัฐ” คือประตูหน้าบ้าน GDX ก็คือ “ระบบท่อและสายส่งหลังบ้าน” ที่เชื่อมทุกหน่วยงานเข้าด้วยกัน ทำให้ข้อมูลที่จำเป็นสามารถวิ่งข้ามกำแพงไซโลไปมาได้อย่างปลอดภัยและรวดเร็ว GDX คือกลไกสำคัญที่ทำให้บริการแบบรู้ใจประชาชนเกิดขึ้นได้จริง
- 3. บัตรประชาชนดิจิทัล (Digital ID) คือ กุญแจดอกเดียวที่ใช้ไขเข้าประตูหน้าบ้านและยืนยันตัวตนในทุกบริการได้อย่างมั่นคงปลอดภัย ระบบนี้ได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งมาแล้วจากการรองรับผู้ลงทะเบียนเกือบ 19 ล้านคนภายในวันเดียวโดยไม่ล่ม
การสร้างโครงสร้างพื้นฐานทั้งสามส่วนนี้ คือหัวใจของการเปลี่ยนผ่านภาครัฐจากการทำงานที่ยึด “หน่วยงาน” เป็นที่ตั้ง ไปสู่การบริการที่ยึด “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง (Citizen Centric)” อย่างแท้จริง โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือการทำให้ชีวิตของประชาชนง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และเข้าถึงสิทธิของตนเองได้อย่างเต็มที่
มองไปข้างหน้า: จาก AI Co-pilot สู่ Quantum Computing
การเดินทางสู่ยุค AI ที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้อาจเป็นเพียงก้าวแรก เพราะเส้นขอบฟ้าแห่งเทคโนโลยีกำลังขยับออกไปไกลและเร็วกว่าที่เคย ดร.ทัดพงศ์ กล่าวว่า บทบาทของ AI กำลังจะพัฒนาจากยุคของ “Co-pilot” ที่เป็นเพียงผู้ช่วยคอยให้คำแนะนำ ไปสู่ยุคของ “Co-worker” ที่จะกลายเป็นเพื่อนร่วมงานดิจิทัล ที่สามารถรับมอบหมายและทำงานที่ซับซ้อนบางอย่างได้ดีกว่ามนุษย์ โดยเฉพาะในโลกของการพัฒนาซอฟต์แวร์และปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจ
–จาก Co-pilot สู่ Co-worker: KBTG ชี้ ‘Agentic AI’ คือคลื่นลูกใหม่แห่งการปฏิวัติธุรกิจ
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเทคโนโลยีที่จะเข้ามาเปลี่ยนโลก (Game Changer) อีกสองแขนงที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ ได้แก่ Quantum Computing คือเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่มีพลังการประมวลผลสูงกว่าคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันอย่างมหาศาล ศักยภาพของมันเปรียบเสมือนดาบสองคมที่สามารถสร้างคุณอนันต์และโทษมหันต์ได้ในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะในโลกของความปลอดภัยไซเบอร์ (Cyber Security) ที่เทคโนโลยีนี้อาจทำให้การเข้ารหัสข้อมูลที่แข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบันถูกทำลายลงได้ในพริบตา
และ Physical AI คือการที่ปัญญาประดิษฐ์ก้าวออกมาจากโลกดิจิทัล มาสู่โลกกายภาพอย่างเต็มตัวในรูปแบบของหุ่นยนต์ โดรน หรือเซ็นเซอร์อัจฉริยะ ที่ไม่ได้ทำแค่คิดวิเคราะห์ แต่สามารถลงมือปฏิบัติงานในโลกแห่งความเป็นจริงได้ เช่น การทำเกษตรอัจฉริยะที่หุ่นยนต์สามารถดูแลพืชผลได้ด้วยตัวเอง
แม้ภาพอนาคตจะเต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่บทสรุปที่ตกผลึกจากการเสวนาครั้งนี้กลับสะท้อนสัจธรรมที่ชัดเจนว่า การเดินทางสู่ “Shaping Tomorrow” ของประเทศไทย ไม่ใช่การวิ่งไล่ตามเทคโนโลยีอย่างไม่สิ้นสุด แต่คือการกลับมาที่จุดเริ่มต้นเพื่อวางรากฐานทั้งสามประการให้แข็งแกร่ง
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่า AI จะฉลาดล้ำเพียงใด ก็ยังต้องอาศัย “คน” ที่มีทักษะในการควบคุมดูแล ไม่ว่าคอมพิวเตอร์จะทรงพลังแค่ไหน ก็ยังต้องใช้ “ข้อมูล” เป็นพลังขับเคลื่อน และไม่ว่านวัตกรรมจะหลากหลายเท่าไร ก็ยังต้องมี “แพลตฟอร์ม”เป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Google Cloud เปิดตัว Gemini Enterprise สร้าง AI Agent เพื่อธุรกิจ
กระทิง พูนผล ฟันธง 2026 ปีวัดใจ AI ไทย พิสูจน์ ROI ไม่ได้ อยู่ไม่รอด




