Share on
×

Share

AI ไทยในกับดัก: เมื่อความตื่นตัวสูงแต่ความสำเร็จสวนทาง

AI ไทยในกับดัก: เมื่อความตื่นตัวสูงแต่ความสำเร็จสวนทาง

คลื่นปฏิวัติแห่งปัญญาประดิษฐ์ (AI) สาดซัดเข้าสู่ทุกอณูของภาคธุรกิจไทย สร้างแรงกระเพื่อมมหาศาล ปลุกให้องค์กรน้อยใหญ่ต้องตื่นตัวและกระโจนเข้าสู่สนามแข่งขันใหม่นี้อย่างคึกคัก แต่ทว่าเบื้องหลังกระแส “ตื่นทอง” (Gold Rush) ที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยโอกาส กลับซ่อนเร้น “กับดัก” จากความคาดหวังที่สูงเกินจริงและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน จนนำไปสู่สถิติที่น่าตกใจ

ข้อมูลที่น่าสนใจอ้างอิงจากบทความของ MIT ชี้ว่า กว่า 95% ของโครงการ AI ทั่วโลกให้ผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่า และเมื่อเจาะลึกลงมาในบริบทของไทย สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนภาพปัญหาที่รุนแรง ถึงขั้นที่มีการประเมินกันอย่างไม่เป็นทางการในแวดวงธนาคารว่า โปรเจกต์ AI กว่า 70% กำลังเผชิญกับความล้มเหลว

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนภาพ “มายาคติ” ครั้งใหญ่ที่ครอบงำองค์กรไทย จากมุมมองของ ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการสถาบัน IMC ที่ชี้ว่าปัญหาหลักคือ “การเกาะกระแสการตลาด โดยขาดความเข้าใจพื้นฐานที่แท้จริง”

ดร.ธนชาติ ชี้ทางรอดไทยยุค AI: หยุดเป็นแค่ ‘ผู้ใช้’ ต้องเร่งสร้าง ‘ผู้สร้าง’

มายาคติที่ใหญ่ที่สุด: Over Expectation และการลงทุนที่ผิดทิศทาง

ปัญหาหลักที่หยั่งรากลึกในองค์กรไทยคือ ความคาดหวังที่สูงเกินจริง (Over Expectation) ผู้บริหารจำนวนมากมอง AI เป็นเหมือนไม้กายสิทธิ์ ที่จะเข้ามาพลิกโฉมองค์กรได้ในชั่วข้ามคืน สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ลดต้นทุนมหาศาล และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในทันที

“เรากำลังอยู่ในกระแสของมาร์เก็ตติ้งเยอะมาก” ดร.ธนชาติ กล่าว “เราตื่นเต้นกับเครื่องมืออย่าง ChatGPT แต่คนจำนวนมากกลับใช้มันเหมือน Google ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ที่แท้จริงของมัน เราคาดหวังว่ามันจะเป็น ‘อับดุล’ ที่ตอบได้ทุกอย่าง ทั้งที่มันไม่ได้ถูกออกแบบมาเช่นนั้น”

ความคาดหวังที่ผิดเพี้ยนนี้เองที่นำไปสู่การลงทุนที่ผิดพลาด 3 รูปแบบ คือ

  1. ลงทุนน้อยเกินไป คาดหวังผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ แต่ทุ่มงบประมาณเพียงน้อยนิด ทำให้ไปไม่ถึงเป้าหมาย
  2. ลงทุนมากเกินไป ทุ่มเงินมหาศาลไปกับเทคโนโลยีที่ไม่ตอบโจทย์ หรือซื้อเครื่องมือที่มีฟังก์ชันเกินความจำเป็น เปรียบได้กับการซื้อ “ไมโครเวฟ” ที่มีปุ่มซับซ้อนมากมาย แต่สุดท้ายใช้เพียงแค่อุ่นอาหาร
  3. ลงทุนไม่ถูกจุดขาดความเข้าใจ ทำให้เลือกใช้เทคโนโลยีผิดประเภท ไม่สอดคล้องกับปัญหาที่ต้องการแก้ไข

ดร.ธนชาติ มองว่า “มายาคตินี้ถูกขับเคลื่อนด้วยความกลัว หรือ FOMO (Fear of Missing Out) ที่กลัวจะตกขบวน กลัวไม่ทันคู่แข่ง ทำให้รีบกระโจนเข้าใส่โดยไม่มีแผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน สุดท้ายก็พบว่าสิ่งที่ลงทุนไปไม่ได้เป็นอย่างที่คิด”

4 องค์ประกอบชี้ชะตา AI Transformation: จากความล้มเหลวสู่ความสำเร็จ

การจะเปลี่ยนผ่านองค์กรด้วย AI ให้สำเร็จ ไม่ใช่แค่การซื้อเทคโนโลยี แต่เป็นการเดินทางที่ต้องอาศัยความพร้อมใน 4 มิติสำคัญ ดังนี้

  1. Tone from the Top (ทิศทางจากผู้นำ) นี่คือหัวใจที่สำคัญที่สุด ผู้บริหารระดับสูงต้องมีความเข้าใจในศักยภาพและข้อจำกัดของ AI อย่างแท้จริง สามารถกำหนดวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ไม่คาดหวังสูงเกินไป และไม่ดูแคลนศักยภาพของมันต่ำเกินไป พวกเขาต้องติดตามความเคลื่อนไหวของโลก AI เหมือนติดตามข่าวเศรษฐกิจหรือราคาหุ้น เพื่อปรับทิศทางองค์กรได้ทันท่วงที
  2. Right Technology (เทคโนโลยีที่เหมาะสม) เมื่อมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนแล้ว จึงจะสามารถเลือกเทคโนโลยีและเครื่องมือที่ “ใช่” สำหรับโจทย์ขององค์กรได้ ไม่ใช่การแห่ตามกระแสไปซื้อทุกอย่างที่กำลังเป็นที่นิยม
  3. Talent (บุคลากร) คนยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ต้องมีการ Upskill และ Reskill พนักงานในทุกระดับ ตั้งแต่การสร้างความคุ้นเคยในการใช้เครื่องมือ AI ทั่วไปให้กับพนักงานทุกคน ไปจนถึงการสร้างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่สามารถพัฒนาโมเดลหรือแอปพลิเคชันขององค์กรได้
  4. Process Redesign (การปรับกระบวนการทำงาน) ต้องมองให้ออกว่า Task ใดที่ AI ทำได้ดี และ Task ใดที่ยังต้องอาศัยมนุษย์ แล้วออกแบบกระบวนการทำงานใหม่ที่ผสมผสานคนและ AI เข้าด้วยกันอย่างลงตัว ไม่ใช่การตั้งเป้าให้ AI มาแทนที่คนทั้งหมดในทันที

“มันไม่ใช่โปรเจกต์แบบ Big Bang ที่ทำครั้งเดียวจบ แต่เป็นการค่อยๆ ขยับและเรียนรู้ไปพร้อมกับการพัฒนาของเทคโนโลยี” ดร.ธนชาติ ย้ำ

ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่: ฟองสบู่ AI และ “สงครามฝิ่น” ยุคดิจิทัล

นอกเหนือจากความล้มเหลวในการนำไปใช้ ยังมีความเสี่ยงระดับมหภาคที่ผู้บริหารต้องตระหนักถึง

1. ฟองสบู่ AI (AI Bubble) สถานการณ์ปัจจุบันคล้ายกับยุค Dot-com Bubble อย่างมาก บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ยอม “ขายขาดทุน” เพื่อดึงดูดผู้ใช้งาน ค่าบริการ Subscription ที่เราจ่ายนั้นต่ำกว่าต้นทุนการดำเนินการจริงมหาศาล สิ่งที่น่ากลัวคือเมื่อฟองสบู่แตก แอปพลิเคชันหรือเครื่องมือที่เราลงทุนและผูกติดไปแล้วอาจ “หายไป” หรือเมื่อเหลือผู้เล่นรายใหญ่ไม่กี่ราย พวกเขาก็จะเริ่มขึ้นราคาจนกลายเป็นการผูกขาด

คำแนะนำคือ องค์กรต้องกระจายความเสี่ยง อย่าพึ่งพาเทคโนโลยีจากค่ายใดค่ายหนึ่งมากเกินไป องค์กรขนาดใหญ่ควรพิจารณาพัฒนา Small Model ที่เป็น Domain Expert ของตัวเอง เพื่อลดการพึ่งพาจากภายนอก

2. ลูกเสือที่พร้อมจะแว้งกัด AI ในวันนี้ดูเหมือน “ลูกเสือ” ที่น่ารักและเชื่อง แต่เบื้องหลังความสะดวกสบาย มันกำลังเก็บข้อมูลมหาศาลของเราไปโดยไม่รู้ตัว และมีแนวโน้มที่จะเข้ามา “Bypass” ธุรกิจเดิม ๆ เช่น เบราว์เซอร์อัจฉริยะที่สามารถค้นหาและสั่งซื้อสินค้าได้เองโดยไม่ต้องผ่านหน้าเว็บไซต์ของร้านค้าโดยตรง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจท้องถิ่นอย่างรุนแรง

3. สงครามฝิ่นยุคใหม่ ดร.ธนชาติ เปรียบเทียบสถานการณ์นี้กับ “สงครามฝิ่น” ที่ชาติตะวันตกนำฝิ่นมาให้คนจีนเสพจนติดงอมแงมและเข้าครอบครองได้ในที่สุด “วันนี้บริษัทเทคโนโลยีต่างชาติกำลังเอา AI มาให้เราใช้จนติด เราสนุกกับมัน แต่สุดท้ายแล้วมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งหมดกลับไหลออกนอกประเทศ และพวกเขาก็เข้ามาควบคุมเศรษฐกิจของเราได้”

Revolution of Generative AI เมื่อ AI พลิกโฉมโลกการทำงาน

จุดเปลี่ยนสังคม: เมื่อ AI เขย่าโครงสร้างแรงงานและยุทธศาสตร์ชาติ

ผลกระทบของ AI ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในรั้วองค์กร แต่กำลังจะเปลี่ยนโฉมหน้าสังคมและตลาดแรงงานไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็น

โครงสร้างการจ้างงานเปลี่ยนไป จากรูปทรง “พีระมิด” (ผู้บริหารน้อย, ระดับกลางเยอะ, ระดับปฏิบัติการเยอะสุด) จะกลายเป็นรูปทรง “ไดมอนด์” (ระดับล่างและบนแคบ, ตรงกลางขยายใหญ่) นั่นหมายความว่างานระดับเริ่มต้น (Junior) จะหายไปจำนวนมาก เพราะ AI สามารถทำงานแทนได้ดีกว่า

สองกลุ่มที่น่าเป็นห่วง คือ แรงงานทักษะปานกลางถึงต่ำ (Average Workforce) ประเทศไทยผลิตบัณฑิตในกลุ่มนี้ออกมาจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นกลุ่มที่จะถูก AI เข้ามาทดแทนโดยตรงและจะตกงานเป็นจำนวนมาก

และ กลุ่ม Mid-Career (อายุ 45-50 ปี) คนกลุ่มนี้จะถูกคาดหวังให้สร้างประสิทธิผลได้เป็น 2 เท่าในเวลาเท่าเดิมเพื่อแลกกับเงินเดือนที่สูงขึ้น หากปรับตัวไม่ได้ก็จะถูกบีบให้ออกจากตลาดแรงงานก่อนวัยอันควร

ปรากฏการณ์นี้อาจนำไปสู่ “Lost Generation” หรือคนรุ่นที่สูญหาย ไม่สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ และจะสร้างปัญหาสังคมในระยะยาว

ตัวอย่าง สิงคโปร์ เขามีมุมมองต่อเรื่องนี้ไปไกลกว่ามาก โดยไม่ได้มองแค่การพัฒนาทักษะคนเพื่อให้อยู่ในอาชีพเดิม แต่เชื่อว่า AI จะเข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์ของอาชีพไปโดยสิ้นเชิง (Change Job) ทำให้ยุทธศาสตร์ของสิงคโปร์มุ่งเน้นไปที่การเตรียมความพร้อมให้คนสามารถ “เปลี่ยนอาชีพใหม่” ได้เลย ซึ่งสะท้อนการมองไปข้างหน้าและเตรียมรับมือกับปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง

“การแค่พูดว่า Upskill-Reskill นั้นไม่เพียงพอ” ดร.ธนชาติกล่าว “มันเหมือนเราลอยๆ เกินไป เราต้องทำอะไรที่แรงกว่านี้ ต้องมองไปถึงอนาคตว่าปัญหาที่จะตามมาคืออะไร แล้วจะแก้ไขอย่าง

ดังนั้น “ยุทธศาสตร์ชาติ” จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ไม่สามารถมองข้ามได้อีกต่อไป การแค่พูดว่า “Upskill-Reskill” นั้นไม่เพียงพอ แต่ต้องมองไปถึงการปฏิรูปโครงสร้างการศึกษา การวางนโยบายรองรับ Gig Economy การสร้างสวัสดิการสังคมที่ยืดหยุ่น และการสร้างโมเดล AI เฉพาะทางของประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน

AI ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงที่จะซัดทุกสิ่งให้พังทลายหรือจะยกให้สูงขึ้น อยู่ที่ว่าเราจะเผชิญหน้ากับมันด้วย “ความตื่นเต้นที่ไร้ทิศทาง” หรือด้วย “ความเข้าใจที่มาพร้อมยุทธศาสตร์” ซึ่งนี่คือทางรอดเดียวขององค์กรและประเทศไทยในทศวรรษข้างหน้า

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

อนาคตไทยยุค AI: ต้องเริ่มที่ ‘คน-ข้อมูล-แพลตฟอร์ม’

Amazon Bedrock เปิดให้บริการในไทยแล้ว

×

Share

ผู้เขียน