ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือทรงพลังในการประมวลผลข้อมูลมหาศาล กำลังเผยให้เห็นช่องโหว่สำคัญเมื่อต้องเผชิญกับความซับซ้อนของ “อัตลักษณ์ไทย” โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลในโลกดิจิทัลมีจำกัดและไม่ถูกต้อง ผลลัพธ์ที่ได้จึงไม่ใช่แค่คำตอบที่ผิดพลาด แต่คือการสร้างภาพจำทางวัฒนธรรมที่บิดเบือน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเข้าใจของคนรุ่นใหม่และชาวต่างชาติในระยะยาว
ประเด็นดังกล่าวถูกหยิบยกขึ้นมาสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนโดย ดร.อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา ในการบรรยายหัวข้อ “ปัญญาประดิษฐ์กับอัตลักษณ์ไทย” ภายในงาน การประชุมสุดยอดว่าด้วยปัญญาประดิษฐ์แห่งประเทศไทย 2568 (Thailand National AI Summit 2025) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าแม้ AI จะฉลาดเพียงใด ก็ยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึงและเข้าใจมรดกทางวัฒนธรรมของไทยที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบข้อความดิจิทัล ส่งผลให้เกิดการตีความที่ผิดเพี้ยน ดังเช่นกรณีการสร้างภาพ “ช้างเอราวัณ” ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของอินเดียแทนที่จะเป็นของไทย
AI อ่านใจไทย: เก่งเมื่อข้อมูลพร้อมอ่อนด้อยเมื่อข้อมูลจำกัด
AI ในปัจจุบันสามารถเข้าถึงและประมวลผลข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะข้อมูลในรูปแบบข้อความ แม้แต่ไฟล์ PDF ก็สามารถใช้เทคโนโลยี Optical Character Recognition (OCR) ในการแปลงเป็นข้อความเพื่อทำความเข้าใจได้ แต่ความสามารถนี้มีเงื่อนไขสำคัญคือ “ปริมาณและคุณภาพของข้อมูล”
ในมิติของอัตลักษณ์ไทยที่ถูกวิเคราะห์และบันทึกไว้มากพอโดยเฉพาะจากมุมมองของชาวต่างชาติ เช่น “ยิ้มสยาม” หรือ “การไหว้” AI สามารถวิเคราะห์และเปรียบเทียบได้อย่างน่าสนใจ โดยให้ข้อมูลเชิงลึกว่า คนไทยใช้รอยยิ้มเพื่อสื่อสารในหลากหลายสถานการณ์ ตั้งแต่การแสดงความจริงใจ กลบเกลื่อนความขวยเขิน ไปจนถึงการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เลวร้าย ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทยเองอาจไม่ทันได้สังเกต
อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นเรื่องที่ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตมีไม่เพียงพอ AI จะเริ่มสร้างข้อมูลที่ผิดพลาดและอาจเป็นอันตรายหากถูกนำไปใช้อ้างอิงทางการศึกษาหรือการวิจัย ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนทั้งในหมู่คนไทยและชาวต่างชาติ ที่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งใดคืออัตลักษณ์ไทยแท้ หรือเป็นอิทธิพลจากอารยธรรมอื่น เช่น จีน หรือ อินเดีย
กรณีศึกษา “ช้างเอราวัณ” : เมื่อ AI สับสนอัตลักษณ์ไทย-อินเดีย
ปัญหาดังกล่าวปรากฏชัดเจนเมื่อมีการสั่งให้ AI สร้างภาพ “แม่ไม้มวยไทยท่าหักงวงไอยรา” ผลลัพธ์ที่ได้คือภาพนักมวยคู่กับช้างเอราวัณ แต่เป็นช้างเอราวัณในอัตลักษณ์ของอินเดีย ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ มี 4 งา หรือมีงวงจำนวนมากคล้ายปลาหมึก แทนที่จะเป็นช้างเอราวัณสามเศียรตามแบบฉบับของไทย
ดร.อนันต์ ชี้ว่า ช้างเอราวัณ 33 เศียร (หรือย่อเป็น 3 เศียร) เป็นอัตลักษณ์ที่คนไทยสร้างขึ้นโดยได้รับอิทธิพลจากคัมภีร์ในพุทธศาสนา และเชื่อว่าเป็นลักษณะเฉพาะของไทยที่ภายหลังได้ส่งอิทธิพลไปยังกัมพูชา ในขณะที่ AI ขาดข้อมูลส่วนนี้ จึงดึงข้อมูลของอินเดียซึ่งมีมากกว่ามาใช้งาน และยังให้ข้อมูลที่ผิดพลาดเพิ่มเติมว่า ช้างเอราวัณปรากฏอยู่ในเรือพระราชพิธี ซึ่งไม่เป็นความจริง
นอกเหนือจากช้างเอราวัณแล้ว AI ยังสร้างภาพ “หน้าราช” ซึ่งเป็นลายไทยที่พัฒนาจากหน้ากาก ออกมาเป็น “หน้าราหู” ในศิลปะที่เอนเอียงไปทางอินเดีย สะท้อนให้เห็นว่า AI ยังคงสับสนและไม่สามารถเข้าใจแก่นแท้ของศิลปะไทยได้ หากขาดชุดข้อมูลที่ถูกต้องและมากพอ
ทางออก: ใช้ AI อย่างชาญฉลาดและเร่งป้อนข้อมูลที่ถูกต้อง
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนปัญหาที่ใหญ่กว่าตัวเทคโนโลยี คือพฤติกรรมของคนไทยที่เริ่มไว้วางใจและพึ่งพา AI มากเกินไป จนอาจละเลยกระบวนการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง และมองข้ามศักยภาพทางปัญญาของมนุษย์
แนวทางการแก้ไขจึงมีอยู่ 2 ส่วนที่ต้องทำควบคู่กันไป
ประการแรกคือ ต้องเรียนรู้ที่จะใช้ AI อย่างชาญฉลาด ตั้งคำถาม และตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับเสมอ ไม่เชื่อโดยปราศจากการวิเคราะห์
ประการที่สองซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนคือ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงวัฒนธรรม และองค์กรที่มีงานวิจัยเกี่ยวกับอัตลักษณ์ไทย ต้องร่วมมือกันนำข้อมูลที่ถูกต้องและมีคุณภาพเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต ทั้งในรูปแบบภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ เพื่อสร้างคลังความรู้ที่เชื่อถือได้ให้ AI ได้เรียนรู้
หากไม่เร่งดำเนินการ “ครู” ที่ชื่อว่า AI ก็จะยังคงสอนบทเรียนที่ผิด ๆ เกี่ยวกับความเป็นไทยต่อไป และภาพจำที่บิดเบือนเหล่านี้อาจถูกผลิตซ้ำจนกลายเป็นความเข้าใจหลักของคนทั้งโลกในที่สุด
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Cyber Subin เมื่อ ‘โค้ด AI’ เรียนรู้ ‘รหัสรำไทย’
LINE เปิดวิสัยทัศน์ตั้งเป้าปั้นไทยสู่ ‘Developer Nation’ ด้วย Next Gen Experience




