ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถูกยกให้เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จทางธุรกิจและแรงขับเคลื่อนแห่งอนาคต กระแสความตื่นตัวและการลงทุนมหาศาลได้เกิดขึ้นทั่วโลก ทว่าท่ามกลางความคาดหวังที่พุ่งสูงนั้น ความจริงที่น่ากังวลกลับปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อองค์กรส่วนใหญ่กำลังก้าวเข้าสู่สมรภูมินี้โดยที่ยังไม่มีความพร้อมอย่างแท้จริง
ความท้าทายนี้ถูกนำเสนอให้เห็นผ่านรายงาน Cisco AI Readiness Index ฉบับที่ 3 ซึ่งได้ทำการสำรวจผู้บริหารและผู้มีอำนาจตัดสินใจกว่า 8,000 คนจาก 30 ประเทศทั่วโลก ผลลัพธ์ที่ได้เผยให้เห็นถึงช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างเป้าหมายที่ตั้งไว้และความเป็นจริง โดยพบว่ามีองค์กรเพียง 13% เท่านั้นที่อยู่ในสถานะ “พร้อมเต็มที่” (Pacesetters) น่าสนใจว่าตัวเลขนี้ยังคงนิ่งสนิทไม่เปลี่ยนแปลงมาตลอด 3 ปี สวนทางกับเม็ดเงินลงทุนและความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ยิ่งไปกว่านั้น Cisco ได้ส่งสัญญาณเตือนถึงปรากฏการณ์ใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบและอาจกลายเป็นกับดักร้ายแรง นั่นคือ ‘หนี้สินโครงสร้างพื้นฐาน AI’ (AI Infrastructure Debt) ซึ่งเป็นภัยเงียบที่พร้อมจะบั่นทอนมูลค่าและฉุดรั้งศักยภาพของ AI ที่องค์กรวาดหวังไว้ในระยะยาว
‘หนี้สินโครงสร้างพื้นฐาน AI’ คืออะไร?
แนวคิดของ ‘หนี้สินโครงสร้างพื้นฐาน AI’ ได้รับการอธิบายอย่างเห็นภาพโดย ไซมอน มิเชลลี (Simon Miceli) กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐาน AI ของ Cisco ประจำภูมิภาค APJC เขานิยามว่ามันคือ การสะสมตัวของปัญหาที่เกิดจากการใช้ทางลัด การมองข้ามการอัปเกรดที่จำเป็น และการขาดการวางแผนเชิงกลยุทธ์ ในองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญต่อการทำงานของ AI
“มันคือการตัดสินใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ดูเหมือนไม่มีนัยสำคัญในวันนี้ แต่จะค่อย ๆ พอกพูนขึ้นตามกาลเวลา และสุดท้ายจะย้อนกลับมาทำให้คุณช้าลง เพิ่มต้นทุนในการดำเนินงาน และบั่นทอนมูลค่าที่คุณพยายามไล่ตามจากการลงทุนใน AI” ไซมอน กล่าว
อาจเปรียบได้กับหนี้สินทางการเงินที่เริ่มต้นจากจำนวนเล็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็พอกพูนจนกลายเป็นภาระหนักอึ้ง ในช่วงแรก หนี้สินเหล่านี้มักมองไม่เห็น แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันจะเริ่มแสดงอาการออกมาในรูปแบบของนวัตกรรมที่เชื่องช้า ความเสี่ยงทางธุรกิจที่สูงขึ้น และที่เลวร้ายที่สุดคือ ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ลดน้อยถอยลง
–ซิสโก้ โชว์นวัตกรรม AI และกลยุทธ์ในการปรับใช้ร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ ที่งาน Cisco Live Amsterdam
Cisco มองว่านี่คือความท้าทายที่อันตรายอย่างยิ่ง เพราะในขณะที่นวัตกรรม AI เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว การสะสมหนี้สินเหล่านี้จะทำให้องค์กรถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างง่ายดาย
ข้อมูลในรายงานได้ตอกย้ำถึงอาการของปัญหานี้อย่างชัดเจน
- มีองค์กรเพียง 16% ที่มั่นใจว่าเครือข่ายของตนสามารถปรับตัวรองรับเวิร์กโหลด AI ที่ซับซ้อนได้เต็มประสิทธิภาพ
- ในขณะที่องค์กรกว่าครึ่งยอมรับว่า โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ไม่สามารถขยายขนาด เพื่อรองรับปริมาณข้อมูลมหาศาลที่ AI จะสร้างขึ้นได้
- และมีเพียง 1 ใน 3 ขององค์กรเท่านั้นที่รู้สึกว่ามีเครื่องมือพร้อมสำหรับ การควบคุมและรักษาความปลอดภัย ของ AI Agents
- ที่น่ากังวลที่สุดคือ มีองค์กร ไม่ถึง 1 ใน 3 ที่มีแผนการที่เป็นรูปธรรม ว่าจะนำ AI Agents ไปใช้งานด้านใดอย่างชัดเจน
ช่องว่างระหว่างความฝันอันยิ่งใหญ่และการเตรียมการที่ไม่เพียงพอนี้เอง คือบ่อเกิดของ ‘หนี้สินโครงสร้างพื้นฐาน AI’ ที่จะเป็นบททดสอบสุดโหด ซึ่งจะเปิดโปงทุกจุดอ่อนที่ซ่อนอยู่ภายในองค์กร
ถอดบทเรียนจาก Pacesetters: กลุ่ม 13% ที่สร้างความแตกต่าง
ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ยังมีกลุ่มองค์กรผู้นำที่เรียกว่า “Pacesetters” (13%) ที่ไม่เพียงแต่พร้อมรับมือ แต่ยังสามารถเปลี่ยนความทะเยอทะยานให้กลายเป็นมูลค่าที่จับต้องได้จริง เบน ดอว์สัน (Ben Dawson) รองประธานอาวุโสและประธานฝ่ายขายของ Cisco ประจำภูมิภาค APJC ชี้ว่า กุญแจสำคัญที่ทำให้กลุ่มนี้แตกต่าง ไม่ได้อยู่ที่ขนาดของการลงทุน แต่อยู่ที่ “การเตรียมการอย่างพิถีพิถัน”
สิ่งที่กลุ่ม Pacesetters ทำได้ดีกว่าองค์กรอื่นอย่างเห็นได้ชัด ประกอบด้วย 3 แนวทางหลัก คือ
- มีวินัยในการกำหนดเป้าหมายและวัดผล (Use Case & Measurement) แทนที่จะกระโจนเข้าสู่โครงการ AI ด้วยความหวังลม ๆ แล้ง ๆ กลุ่ม Pacesetters จะเริ่มต้นด้วยการกำหนด Use Case ที่ชัดเจน สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ และมีตัวชี้วัดความสำเร็จ (ROI) ที่จับต้องได้ตั้งแต่แรก ทำให้พวกเขามั่นใจในทิศทางและสามารถประเมินผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำ โดย 95% ของกลุ่ม Pacesetters สามารถระบุและวัดผลประโยชน์ที่ได้จาก AI ได้อย่างชัดเจน
- ฝังความปลอดภัยไว้ในทุกกระบวนการ (Integrated Security) สำหรับ Pacesetters ความปลอดภัยไม่ใช่ส่วนเสริมที่นำมาติดตั้งทีหลัง แต่เป็นหัวใจสำคัญที่ถูกฝังลึกไปในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบโครงการ การรวบรวมข้อมูล การฝึกฝนโมเดล ไปจนถึงการนำไปใช้งานจริง ทำให้พวกเขามีความพร้อมรับมือกับความเสี่ยงเฉพาะทางของ AI เช่น การรั่วไหลของข้อมูล (Data Leakage) หรือการโจมตีผ่านคำสั่ง (Prompt Injection) ได้ดีกว่าอย่างเทียบไม่ติด
- สร้างความพร้อมแบบองค์รวม (Holistic Approach) กลุ่มผู้นำเข้าใจดีว่าความสำเร็จของ AI ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว พวกเขาจึงไม่ได้มุ่งเน้นความเป็นเลิศแค่ด้านใดด้านหนึ่ง แต่สร้างความพร้อมในทุกมิติ ทั้ง 6 ด้านที่ Cisco กำหนดไว้ในดัชนี ได้แก่ กลยุทธ์ โครงสร้างพื้นฐาน ข้อมูล การกำกับดูแล บุคลากร และวัฒนธรรมองค์กร
ด้วยแนวทางที่รอบด้านนี้เอง ผลลัพธ์ที่ได้คือ กลุ่ม Pacesetters สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อธุรกิจได้สูงกว่ากลุ่มอื่นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในด้านการเพิ่มรายได้ เพิ่มผลกำไร และการปลดล็อกนวัตกรรมเพื่อสร้างแหล่งรายได้ใหม่ๆ
เอเชีย: ดาวรุ่งดวงใหม่ในสมรภูมิ AI
ประเด็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่งสำหรับภูมิภาคเอเชียคือ รายงานฉบับนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพในการเป็นผู้นำและโอกาสในการก้าวกระโดดของหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีสัดส่วนองค์กรที่เป็น Pacesetters สูงถึง 16% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของยุโรป (11%) และอเมริกา (14%)
เบน ได้ยกตัวอย่างประเทศที่โดดเด่นเป็นพิเศษ เช่น อินโดนีเซีย (23%) และ ไทย (21%) ซึ่งมีระดับความพร้อมสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกอย่างมาก สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าองค์กรในประเทศเศรษฐกิจกำลังพัฒนาอาจมองเห็น AI เป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความได้เปรียบและก้าวกระโดดเพื่อแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดที่พัฒนาแล้วได้ ในทางตรงกันข้าม ฮ่องกงกลับมีสัดส่วนองค์กรที่พร้อมเต็มที่เพียง 2% ซึ่งต่ำที่สุดในบรรดาตลาดที่สำรวจทั้งหมด
เจาะลึกประเทศไทย: โอกาสและความท้าทายบนเวที AI โลก
สำหรับประเทศไทย ผลการศึกษานี้นับว่ามีข่าวดีที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เมื่อพบว่าสัดส่วนขององค์กรที่เป็นกลุ่ม ‘Pacesetters’ ในประเทศไทยนั้นสูงถึง 21% ซึ่งไม่เพียงแต่สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 13% แต่ยังสะท้อนถึงศักยภาพของกลุ่มบริษัทไทยที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินงานได้อย่างสม่ำเสมอจนมีผลงานที่เหนือกว่าคู่แข่ง
วีระ อารีรัตนศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิสโก้ ประเทศไทย และเมียนมาร์ กล่าวว่า ผลการศึกษาความพร้อมด้าน AI ของซิสโก้ในปีนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความพร้อมนำมาซึ่งมูลค่าที่แท้จริง ในทุก ๆ ด้าน พบว่าองค์กรที่มีความพร้อมด้าน AI หรือกลุ่ม Pacesetters ในการศึกษาของเราพิสูจน์ให้เห็นสิ่งนี้ พวกเขามีโอกาสมากกว่า 3 เท่าในการนำโครงการทดลอง AI สู่การใช้งานจริง และมีโอกาสมากกว่าถึง 20% ที่จะเห็นผลลัพธ์ทางธุรกิจที่วัดได้จากการใช้ AI
–4 ทศวรรษ Cisco เดิมพันอนาคตบน ‘แพลตฟอร์ม’ ชี้ธุรกิจไทยต้องยกเครื่องรับมือ AI
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายครั้งใหม่กำลังมาถึงในรูปแบบของ AI Agents ซึ่งเป็นเทคโนโลยี AI ที่สามารถทำงานได้เองโดยอัตโนมัติ ข้อมูลชี้ว่าองค์กรในไทยถึง 98% วางแผนที่จะนำ AI Agents มาใช้งาน และเกือบ 31% คาดว่าจะเริ่มทำงานร่วมกับพนักงานได้ภายในปีหน้า แต่ความมุ่งมั่นนี้กลับสวนทางกับความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน เมื่อมีองค์กรในไทยเพียง 27%ที่มองว่าเครือข่ายของตนมีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ ขณะที่ 29% ยอมรับว่าเครือข่ายที่มีอยู่ไม่สามารถรองรับความซับซ้อนและปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นได้เลย
“ในขณะที่องค์กรต่างๆ กำลังนำ AI agents มาใช้งาน ความสำเร็จของพวกเขาขึ้นอยู่กับความพร้อม การมีวินัย และการลงมือทำ”คุณวีระกล่าว
ท้ายที่สุด แม้ AI จะมีศักยภาพมหาศาล แต่การจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้อย่างยั่งยืนนั้น องค์กรไทยจำเป็นต้องมองข้ามกระแสความตื่นเต้น และหันมาทุ่มเทให้กับการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งอย่างจริงจัง การเรียนรู้จากแนวทางของกลุ่ม Pacesetters และการลงมือจัดการกับ “หนี้สินโครงสร้างพื้นฐาน AI” ตั้งแต่เนิ่น ๆ คือกุญแจสำคัญที่จะตัดสินว่าใครจะเป็นผู้ชนะที่แท้จริงในยุคแห่งปัญญาประดิษฐ์นี้
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Amazon Bedrock เปิดให้บริการในไทยแล้ว
ดร.ธนชาติ ชี้ทางรอดไทยยุค AI: หยุดเป็นแค่ ‘ผู้ใช้’ ต้องเร่งสร้าง ‘ผู้สร้าง’




