Share on
×

Share

กฎเหล็ก ‘ซีเค เจิง’: พลิกชีวิตมนุษย์เงินเดือน สู่มหาเศรษฐี

กฎเหล็ก 'ซีเค เจิง': พลิกชีวิตมนุษย์เงินเดือน สู่มหาเศรษฐี

ในยุคที่ใคร ๆ ก็ฝันอยากจะขยับสถานะจาก “มนุษย์เงินเดือน” ไปสู่ “มหาเศรษฐี” คำถามยอดฮิตที่มักจะถูกโยนขึ้นมาบนโต๊ะสนทนาคือ “ลงทุนอะไรดี?” หรือ “ซื้อหุ้นตัวไหนถึงจะรวย?” แต่สำหรับ ซีเค เจิง (CK Cheong) CEO ของ Fastwork แพลตฟอร์มสำหรับจ้างงานฟรีแลนซ์ในประเทศไทย คำถามเหล่านี้คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณยังเดินทางผิดเส้นทาง

หยุดถาม “ทำอย่างไรให้ได้เงินล้าน” แต่จงถาม “ต้องเป็นคนแบบไหนถึงจะมีเงินล้าน”

คุณซีเคเปิดประเด็นอย่างตรงไปตรงมา บนเวที ลงทุนแมน Summit 2025 ว่า การขยับจากมนุษย์เงินเดือนไปสู่การเป็นเศรษฐีพันล้านนั้น “ยาก” และไม่มีทางลัดที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาทลายมายาคติแรกด้วยการยืนยันว่า S&P 500 ไม่ได้ทำให้คุณรวย มันเพียงแค่ช่วยให้คุณ “ชนะเงินเฟ้อ” แต่การจะสร้างความมั่งคั่งที่แท้จริงได้นั้น จุดเริ่มต้นไม่ได้อยู่ที่การลงทุน แต่อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงตัวเอง

ขั้นแรก: สร้าง “เครื่องยนต์ปั๊มเงินสด” (Active Income) ก่อนฝันถึงอิสรภาพ

คุณซีเค ได้ทลายภาพฝันยอดนิยมของการสร้าง Passive Income ลงอย่างสิ้นเชิง ด้วยการชี้ให้เห็นถึงความจริงพื้นฐานที่หลายคนมักมองข้าม นั่นคือ อิสรภาพทางการเงินไม่ได้เริ่มต้นที่การลงทุน แต่เริ่มต้นที่ “งานประจำ” หรือ “Active Income” ที่แข็งแกร่งต่างหาก

เขาย้ำว่า “คุณจะสร้างเงินไม่ได้ถ้าคุณไม่มีต้นเงิน” แนวคิดที่จะนำเงินเก็บหลักแสนไปเสี่ยงโชคเพื่อหวังผลตอบแทนร้อยล้านนั้นเป็นเพียงจินตนาการที่สวยหรู เพราะเงินลงทุนไม่ได้เกิดขึ้นจากอากาศธาตุ แต่เกิดจากกระแสเงินสดส่วนเกินที่แข็งแกร่งและสม่ำเสมอ

ดังนั้น โจทย์แรกที่ต้องตีให้แตกจึงไม่ใช่ “จะลงทุนอะไรดี?” แต่เป็น “จะเพิ่ม Active Income ได้อย่างไร?” และคำตอบของเขาก็ได้พลิกมุมมองของคนทำงานส่วนใหญ่อย่างสิ้นเชิง เพราะมันไม่ใช่การไล่คว้าตัวเลขเงินเดือนที่สูงกว่า แต่คือการปฏิวัติตัวเองจากภายใน เพื่อสร้างมูลค่าให้สูงขึ้นจนไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้

“คำถามที่ถูก ไม่ใช่ ‘ทำอย่างไรให้ได้เงินล้าน’ แต่คือ ‘ผมต้องเป็นคนแบบไหน ถึงจะคู่ควรกับเงินล้าน?’ เพราะเมื่อคุณพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นคนนั้นได้…เงินล้านจะเดินทางมาหาคุณเอง”

คุณซีเคได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนผ่านทางเลือกสองแพร่ง ระหว่างงานที่ให้เงินเดือน 50,000 บาท กับงานที่ให้ 35,000 บาท คนทั่วไปมักมองเห็นเพียงส่วนต่าง 15,000 บาท แต่คนที่มีสายตาของเศรษฐีจะมองทะลุไปถึง “สินทรัพย์ล่องหน” ที่ประเมินค่าไม่ได้ พวกเขาจะตั้งคำถามว่า งานที่ให้ผลตอบแทนน้อยกว่าในวันนี้ มอบโอกาสให้ได้ใกล้ชิดกับผู้บริหารระดับสูง ได้เป็นเจ้าของโครงการที่สร้างโปรไฟล์ หรือมีสิทธิ์ได้รับหุ้นของบริษัทในวันข้างหน้าหรือไม่? เพราะสิ่งเหล่านี้คือ “ทุนแห่งอนาคต” ที่จะสร้างผลตอบแทนทบต้นอย่างมหาศาล

บทพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุดของหลักการนี้คือเรื่องราวของ Steve Ballmer อดีต CEO ของ Microsoft เขาเป็นเพียง “พนักงาน” แต่กลับสร้างความมั่งคั่งได้มากกว่าผู้ก่อตั้งอย่าง Bill Gates เพราะในยุคบุกเบิกของบริษัท เขามองการณ์ไกลและเลือกที่จะเดิมพันกับอนาคต โดยยอมรับเงินเดือนที่น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อแลกกับ “หุ้น” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นเจ้าของ นี่คือการตัดสินใจที่เปลี่ยนพนักงานคนหนึ่งให้กลายเป็นมหาเศรษฐีระดับโลก

ขั้นที่สอง: บทพิสูจน์เศรษฐี… ฝ่าด่านวินัย 2 ระดับ

เมื่อ “เครื่องยนต์ปั๊มเงินสด” หรือ Active Income ของคุณเริ่มทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว หลายคนอาจคิดว่านั่นคือเส้นชัย แต่สำหรับคุณซีเค มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของบททดสอบที่แท้จริงต่างหาก เพราะสิ่งที่จะชี้ชะตาว่าคุณจะไปถึงฝั่งฝันแห่งความมั่งคั่งได้หรือไม่นั้น ไม่ใช่ความสามารถในการหาเงินอีกต่อไป แต่เป็น “วินัย” ที่เขาแบ่งออกเป็น 2 ด่านสำคัญ

ด่านแรก คือ การสร้าง “ส่วนต่างแห่งความมั่งคั่ง”

นี่คือบททดสอบพื้นฐานที่คนส่วนใหญ่สอบตก เมื่อรายได้เพิ่มขึ้น ธรรมชาติของมนุษย์คือการขยับขยายไลฟ์สไตล์ให้สูงขึ้นตามไปด้วย แต่กฎข้อแรกของวินัยทางการเงินคือการว่ายทวนกระแสน้ำเชี่ยวนี้ หัวใจของมันคือการตั้งคำถามกับตัวเองอย่างซื่อสัตย์ว่า “เมื่อเงินเดือนเพิ่มจาก 50,000 บาท เป็น 80,000 บาท เรายังสามารถใช้ชีวิตเรียบง่ายด้วยค่าใช้จ่าย 30,000 บาทเท่าเดิมได้หรือไม่?”

“ส่วนต่าง” ที่เพิ่มขึ้นมาทั้งหมดนั้น ไม่ใช่เงินสำหรับปรนเปรอตัวเอง แต่คือ “เชื้อเพลิง” ก้อนสำคัญที่จะถูกส่งเข้าไปหล่อเลี้ยงเครื่องจักรการลงทุนของคุณอย่างต่อเนื่อง และต้องเป็นการลงทุนเท่านั้น ไม่ใช่การฝากเงินไว้ในธนาคารอย่างปลอดภัย เพราะอย่างที่คุณซีเคย้ำเตือนเสมอว่า “การฝากเงินไว้ในธนาคารเฉย ๆ คือการการันตีว่าคุณจะจนลง”

ด่านสุดท้าย รือ การต้านทาน “แรงดึงดูดแห่งไลฟ์สไตล์”

หากคุณผ่านด่านแรกมาได้เป็นเวลา 5-10 ปี คุณจะเดินทางมาถึงหลักไมล์สำคัญ นั่นคือการมี “เงินก้อนแรกของชีวิต” อยู่ในมือ อาจจะเป็นตัวเลข 5 ล้านบาท 10 ล้านบาท หรือ 20 ล้านบาท และนี่คือจุดวัดใจที่แท้จริง เป็นบททดสอบจิตใจที่ยากที่สุดซึ่งมีคนเพียง 1 ใน 1,000 เท่านั้นที่จะผ่านไปได้

ณ จุดนี้ แรงดึงดูดให้คุณ “ให้รางวัลกับความสำเร็จ” จะรุนแรงมหาศาล เสียงกระซิบให้ซื้อบ้านหลังใหญ่ รถสปอร์ตคันหรู หรือออกเดินทางท่องเที่ยวรอบโลกจะดังขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งคุณซีเคเปรียบเปรยการกระทำนี้ไว้ว่า มันไม่ต่างอะไรกับการ “ทุบทำลายเครื่องจักรสร้างเงินที่คุณเพิ่งประกอบมันเสร็จสมบูรณ์”

เหตุผลก็เพราะช่วงเวลานี้เองที่เครื่องจักรของคุณจะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพที่สุด พลังของ Passive Income จะสำแดงอานุภาพสูงสุดก็ต่อเมื่อมันถูกสร้างขึ้นจาก “เงินต้น” จำนวนมหาศาล หากคุณสามารถกัดฟันสู้กับความอยาก อดทนใช้ชีวิตแบบเดิมต่อไปอีกเพียง 3-5 ปี คุณจะอนุญาตให้เครื่องจักรทรงพลังนี้ได้ทำงานอย่างเต็มที่ และสร้างผลตอบแทนที่จะนำพาคุณไปสู่อิสรภาพทางการเงินที่แท้จริงและยั่งยืน

ขั้นที่สาม: ตั้ง “ไม้บรรทัด” การลงทุน… รู้จักจุดสตาร์ตก่อนคิดจะคว้าชัย

เมื่อมีเงินทุนพร้อมอยู่ในมือ คำถามสำคัญที่ตามมาคือ “จะนำเงินไปต่อยอดที่ไหนดี?” สำหรับ คุณซีเคคำตอบไม่ได้เริ่มต้นที่การไล่ล่าหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด แต่เริ่มจากการตั้ง “บรรทัดฐาน” หรือไม้บรรทัดสำหรับวัดความคุ้มค่าของการลงทุนทุกประเภทเสียก่อน

ไม้บรรทัดที่ว่านี้คือ “อัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง” (Risk-Free Rate) ซึ่งสินทรัพย์ที่เปรียบได้กับตัวแทนของค่านี้ก็คือ “ตราสารหนี้รัฐบาลสหรัฐอเมริกา” ที่ให้ผลตอบแทนราว 4.25% ต่อปี

หลักการคิดนั้นเรียบง่าย คือ ในเมื่อคุณสามารถได้รับผลตอบแทน 4.25% แทบจะแน่นอนจากการลงทุนที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ทำไมคุณถึงควรนำเงินไปเสี่ยงกับสิ่งอื่นที่ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกัน? คุณซีเคชี้ให้เห็นตรรกะที่น่าคิดว่า แม้แต่การฝากเงินไว้ในธนาคารไทย ก็ยังมีความเสี่ยงสูงกว่าการซื้อตราสารหนี้สหรัฐฯ แต่กลับให้ดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าอย่างเทียบไม่ได้

บรรทัดฐาน 4.25% นี้จึงกลายเป็นจุดสตาร์ตที่ทรงพลังในการตัดสินใจ เขาได้ยกตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจน:

หากคุณคิดจะเปิดร้านชานมไข่มุก และคาดการณ์ว่าจะได้กำไร 8% ต่อปี เมื่อนำมาเทียบกับไม้บรรทัดนี้แล้ว ส่วนต่างของผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นมาเพียงเล็กน้อย อาจไม่คุ้มค่าเลยกับความเสี่ยง ความเหนื่อย และเวลาที่ต้องทุ่มเทลงไปทั้งหมด “สู้เอาเงินไปลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐฯ แล้วนอนดู Netflix อยู่บ้านยังจะดีกว่า”

เมื่อเข้าใจจุดสตาร์ตแล้ว สเต็ปต่อไปคือการเลือกว่าคุณจะเล่นเกมแบบไหน

เกมแบบ “ไม่แพ้”: การลงทุนในดัชนี S&P 500 คือคำตอบสำหรับเกมนี้ มันอาจไม่ทำให้คุณรวยแบบก้าวกระโดด แต่มันจะช่วยให้เงินของคุณเติบโตไปพร้อมกับบริษัทที่แข็งแกร่งที่สุด 500 แห่งของโลก และที่สำคัญคือ “ไม่แพ้” เงินเฟ้อ

เกมแบบ “ชนะขาด”: แต่ถ้าเป้าหมายของคุณคือการเป็นเศรษฐี การ “ไม่แพ้” นั้นไม่เพียงพอ คุณต้อง “ชนะ” ตลาดให้ได้ ซึ่งหมายถึงการยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นอย่างมีกลยุทธ์ เช่น การเดิมพันกับหุ้นเติบโตสูงอย่าง Tesla หรือการเดินตามรอยนักลงทุนระดับตำนานอย่าง Warren Buffett เพราะอย่างที่คุณซีเคได้กล่าวไว้ว่า “โลกนี้มันแฟร์มาก สิ่งที่เราจะได้รับ มันมาพร้อมกับความเสี่ยงเสมอ”

บทสรุป: คนไทยไม่ขาดคนเก่ง แต่ขาด “คนกล้า” และ “คนบ้า”

ท้ายที่สุด เมื่อถอดรหัสสมการสู่ความมั่งคั่งทั้งหมดแล้ว คุณซีเค ได้ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยชี้ขาดสุดท้าย ที่แยกระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จกับคนธรรมดาทั่วไป มันไม่ใช่พรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่เป็นคุณสมบัติที่ถูกหล่อหลอมขึ้นจากภายใน นั่นคือ “ความอึด” ที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย “ความมุ่งมั่น” ที่ไม่เคยยอมแพ้ และที่สำคัญที่สุดคือส่วนผสมระหว่าง “ความบ้า” และ “ความกล้า”

“ความบ้า” ในที่นี้ ไม่ใช่ความวิกลจริต แต่คือ ความทะเยอทะยานที่จะคิดการใหญ่ จนดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ในสายตาคนอื่น เขาเปรียบเทียบกับวิธีคิดของคนอเมริกันที่ “บ้าพอ” จะเชื่อว่าเบอร์เกอร์ซึ่งเป็นอาหารของตน สามารถกลายเป็นวัฒนธรรมการกินของคนทั้งโลกได้ จนเกิดเป็นอาณาจักรอย่าง McDonald’s

ส่วน “ความกล้า” คือ พลังในการลงมือทำ เพื่อผลักดันวิสัยทัศน์ที่ “บ้าบิ่น” นั้นให้กลายเป็นความจริง แม้จะต้องท้าทายกฎเกณฑ์หรือต่อสู้กับระบบเดิม ๆ ก็ตาม เหมือนที่ Airbnb และ Uber “กล้าพอ” ที่จะสร้างธุรกิจที่พลิกโฉมอุตสาหกรรม แม้จะเริ่มต้นจากการเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่พวกเขาก็สู้จนกฎหมายต้องยอมเปลี่ยนแปลงตาม

และจากมุมมองนี้เอง คุณซีเคได้ทิ้งท้ายบทสรุปที่ท้าทายความคิดของพวกเราทุกคนว่า “คนไทยไม่ได้ขาดคนเก่งหรอก เราขาดคนกล้า”

นี่จึงไม่ใช่แค่คำแนะนำ แต่เป็นคำท้าทายที่ส่งตรงถึงมนุษย์เงินเดือนทุกคนที่ฝันอยากจะเปลี่ยนแปลงชีวิต ว่านอกจากการลุกขึ้นมาสร้าง “ความสามารถ” จนไม่มีใครทดแทนได้ และการมี “วินัย” ที่แข็งแกร่งเหนือคนทั่วไปแล้ว คุณยังต้องปลุก “ความกล้า” ในหัวใจ เพื่อที่จะเดิมพันกับอนาคตที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมให้สำเร็จ

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ส่องกลยุทธ์ ‘สุกี้ตี๋น้อย-มาม่า’: ทำอย่างไรให้แบรนด์ Mass โตแบบ Premium

‘April’s Bakery – C2 Water’ นำเทรนด์-สร้าง Story ฝ่าสมรภูมิ Red Ocean

×

Share

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ผู้เขียน